บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 6 ม.ค.65 by GT, HGF, GCAP, YLG, TDC, MTS

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • บันทึกการประชุม FOMC เดือนก่อนเผย Fed เตรียมลดดอกเบี้ยในปีนี้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งหมายความว่าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมทั้งการลดวงเงิน QE ที่ต้องหมดเร็วขึ้นมากด้วย
  • ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงแรง กลุ่มเทคโนโลยีดิ่งต่อ ดัชนีตลาดNasdaqตกกว่า -3% หนักที่สุดในรอบปี เพราะต้นทุนการกู้ยืมจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนสร้างความยากลำบากให้กับบริษัทที่มีหนี้สินในระดับสูง ซึ่งแม้ว่าจะกดระดับเงินเฟ้อให้ชะลอตัวได้ตามความต้องการของ Fed แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจโตชะลอลงด้วย

Technical

  • ราคาแกว่งในระยะ 1,800-1,830 แต่ไม่ทำจุดสูงใหม่ เตือนให้ระวังขาลงมากขึ้น แม้การยืนบนเส้น MA จะให้โอกาสขึ้น 1,880 หรือลง 1,750 ยังดู 50/50
  • ราคาดูขึ้นยาก แต่ลงง่าย RSI สวิงเต็มกรอบ ชนทั้ง overbought-oversold จึงต้องรอเลือกทางก่อน
  • ทิศทางวันนี้1,800-1,830
  • จับจังหวะเล่นยังไง?trading สั้น ๆ ในกรอบจำกัด แต่ถ้าหลุด 1,800 ให้ follow short

Attention

  • รัฐบาลสหรัฐฯจะมีเงินใช้จ่ายไปถึง 18 ก.พ.
  • ดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเร็วกว่าคาดเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการอัดฉีดสภาพคล่องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนว่ารอบนี้นักลงทุนจะเลือกทองคำหรือเงินคริปโตเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่ากัน

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

ติดตามดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. โดย ISM

ราคาทองคำคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,800-1,820 ดอลลาร์

  • ราคาทองคำ Spot พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,829 ดอลลาร์เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนจาการปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากรายงานการประชุมของ FOMC ระบุว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟดทันทีหลังจากที่มีการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ขายทองคำสุทธิ 0.32 ตันจากเมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดดาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1,000 ราย มาสู่ระดับ 199,000 ราย ดุลการค้าเดือนพ.ย. ตลาดคาดว่าจะขาดดุล 80.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ขาดดุล 67.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. โดย ISM ตลาดคาดว่า จะลดลงสู่ระดับ 67.0 จาก 69.1 ในเดือนพ.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% จากที่เพิ่มขึ้น 1.0%
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,800-1,820 ดอลลาร์ โดยมีแนวต้าน 1,820 ดอลลาร์ และ 1,830 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับที่ 1,800 ดอลลาร์ และ 1,790 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,809.70-4.31,800/1,7901,820/1,830

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,600+10028,500/28,35028,800/28,950

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,620-8028,420/28,27028,720/28,840

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,800 ดอลลาร์ (GF 28,420 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,790 ดอลลาร์ (GF 28,270 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,815.00-6.101,791/1,7811,821/1,831

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคา GOH22 ปรับลงมาที่ 1,801 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,791 ดอลลาร์

ค่าเงิน

ทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ในขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทคาดว่ายังคงแข็งค่าสำหรับ USD Futures เดือนมี.ค.65 คาดจะมีแนวรับที่ 33 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.40 บาท/ดอลลาร์

News

เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธลงทะเลญี่ปุ่นเช้านี้ เกาหลีใต้-สหรัฐจับตาสถานการณ์

          รัฐบาลญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธ 1 ลูกลงสู่ทะเลญี่ปุ่นในช่วงเช้านี้ ขณะที่คณะเสนาธิการร่วมของเกาหลีใต้ (JCS) ระบุว่า เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเมื่อเวลาประมาณ 08.10 น.ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมกล่าวว่า กองทัพเกาหลีใต้กำลังร่วมมือกับสหรัฐเพื่อจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด    “เราจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์มาอย่างดีที่สุด” นายฟูมิโอ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวกับผู้สื่อข่าวในช่วงเช้านี้ และกล่าวเสริมว่า เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่ปีที่แล้ว แม้ว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้สั่งห้ามไม่ให้เกาหลีเหนือใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาขีปนาวุธก็ตาม    ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบยิงขีปนาวุธแบบที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ (Submarine-launched Ballistic Missile) หรือ SLBM ซึ่งส่งผลให้ทั่วโลกกังวลว่า เกาหลีเหนืออาจมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในการผลิตอาวุธที่ยากจะสกัดกั้นได้

เฟดชี้แรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานอาจพ้นจุดสูงสุด คาดเริ่มบรรเทาหลังจากนี้

          รายงานดัชนีฉบับใหม่จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กระบุว่า แรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบสำคัญตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ อาจแตะจุดสูงสุดแล้ว   สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ดัชนีแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานโลก (GSCPI) พุ่งขึ้นสูงในช่วงแรก ๆ ที่โควิด-19 แพร่ระบาด เนื่องจากจีนประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลังจากนั้นแรงกดดันได้ลดลงบางส่วนเมื่อภาคการผลิตกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง ก่อนจะพุ่งขึ้นในช่วงฤดูหนาวปี 2563 ที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้น   “เมื่อไม่นานมานี้ ดัชนีดังกล่าวบ่งชี้ว่าถึงแม้แรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานจะยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดมาแล้ว และอาจเริ่มคงตัวจากนี้เป็นต้นไป” คณะผู้วิจัยเปิดเผย    ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวจัดทำโดยใช้ข้อมูลตัวแปร 27 ปัจจัย ซึ่งรวมถึงอัตราค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศระหว่างสหรัฐ, เอเชีย และยุโรป โดยคณะผู้วิจัยพบว่าอัตราค่าขนส่งทางเรือนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างมากหลังฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในช่วงเริ่มมีการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม การเติบโตของค่าขนส่งนั้นเริ่มชะลอตัวลงแล้วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา    นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังเปิดเผยว่า อัตราค่าขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวครั้งล่าสุดมากกว่าช่วงหลังวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2551 อย่างมีนัยสำคัญ แต่อัตราค่าขนส่งวัสดุ เช่น ถ่านหินและเหล็กกล้า ยังอยู่ในระดับเท่า ๆ กัน   คณะผู้วิจัยระบุว่าได้มีการปรับทวนข้อมูลตามการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์แล้ว แต่ก็ระบุว่า รายงานดัชนีนี้ไม่ใช่เกณฑ์วัดที่สมบูรณ์แบบ และน่าจะยังเป็นไปตามปัจจัยด้านอุปสงค์บางส่วน

อนามัยโลกเผยข้อมูลเพิ่มเติมชี้โอมิครอนอาการเบากว่าสายพันธุ์อื่น

          องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยถึงหลักฐานเพิ่มเติมว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน จึงทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการเบากว่าไวรัสสายพันธุ์ก่อน ๆ ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนพุ่งสูงขึ้นมาก และมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ  “เรามีข้อมูลผลการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า เชื้อโอมิครอนแพร่กระจายอยู่ที่บริเวณส่วนบนของร่างกาย ต่างจากเชื้อสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ปอดอักเสบ นั่นอาจเป็นข่าวดี แต่เราก็ยังต้องการข้อมูลผลการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด” นายอับดิ มาฮามุด ผู้จัดการด้านสถานการณ์ของ WHO ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่นครเจนีวา อย่างไรก็ดี แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากเชื้อโอมิครอนนั้นต่ำกว่าการระบาดระลอกอื่น ๆ

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

ดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ลดช่วงลบ หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  

มุมมองทองคำภาคเช้า  ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพุธ (5 ม.ค.) นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนัก และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว  นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับราคาทองคำด้วย

นักลงทุนยังต้องคอยติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในรอบสัปดาห์ได้แก่  ดัชนีแนวโน้มการเลิกจ้างงาน  ดุลการค้า  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  คำสั่งซื้อสินค้าโรงงาน  ดัชนีภาคการบริการ ISM  การจ้างงานนอกภาคเกษตร  อัตราการว่างงาน  รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง  เป็นต้น  

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ลดช่วงลบ หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,802 –  1,797 –  1,792

แนวต้าน  1,813 – 1,818– 1,823

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กยับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำวันวานนี้ โดยมีปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงและการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ ฯ ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายตลาดหลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของเฟดระบุว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,798 1,783 1,767  แนวต้าน : 1,813 1,844 1,859

จจัยพื้นฐาน

ราคาทองคำวานนี้ปรับตัวลดลง  4.30ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าระหว่างวันราคาทองคำจะพุ่งขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการปรับฐานของดัชนีดอลลาร์  ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำทะลุผ่านระดับสูงสุดของวันก่อนหน้าจนกระทั่งเกิดแรงซื้อตามทางเทคนิคดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,829.56 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่จะเริ่มเกิดแรงขายทำกำไรสลับออกมาหลังจากที่ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป(Overbought) แต่ราคาทองคำเริ่มปรับตัวลงแรงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนธ.ค.ที่บ่งชี้ว่า  ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ใน “ภาวะตึงตัวอย่างมาก” ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับลดการถือครองสินทรัพย์(ลดขนาดงบดุล)ทั้งหมดด้วย เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ  รายงานดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. สะท้อนจากเครื่องมือFedWatchของ CME Group ที่บ่งชี้ว่าความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นเป็นราว 80% ซึ่งส่งผลหนุนให้ดัชนีดอลลาร์ฟื้นตัวลดช่วงติดลบ  พร้อมกับหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ2ปีและ5ปีให้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.และก.พ. ปี2020ตามลำดับส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 เช่นกัน จนเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,808.25  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง  0.32 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, ISM เปิดเผยดัชนี PMI ภาคการบริการ  และยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือ 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ส่งผลให้แรงซื้อยังคงถูกจำกัด สำหรับวันนี้ประเมินแนวรับระยะสั้นในโซน 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้านแรกได้แนวต้านถัดไปจะอยู่ในบริเวณ 1,844 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

เข้าซื้อโดยเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว ในบริเวณแนวรับ 1,805-1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนสถานะซื้อหากหลุด1,798 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ขณะที่การขายทำกำไรพิจารณาในโซน 1,829-1,831 ดอลลาร์ต่อออนซ์หากผ่านได้ชะลอการขายออกไปที่แนวต้านถัดไป

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) แพทย์ใหญ่ทำเนียบขาวเตือนสหรัฐอย่าประมาทไวรัสโอมิครอนนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐไม่ควรประเมินไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนต่ำเกินไป แม้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุก่อนหน้านี้ว่า มีหลักฐานมากขึ้นที่แสดงว่าไวรัสโอมิครอนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ซึ่งทำให้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น  นายแพทย์เฟาชีกล่าวว่า “แม้ไวรัสโอมิครอนจะมีความรุนแรงไม่มากนัก แต่ก็มีความสามารถแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อื่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่มีจำนวนเตียงเพียงพอในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก และทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในที่สุด”
  • (+) ดอลล์อ่อนเทียบยูโร,ปอนด์ ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (5 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ลดช่วงลบ หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.10% แตะที่ 96.1674 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1312 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1289 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3560 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3535 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7223 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7241 ดอลลาร์สหรัฐดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 116.13 เยน จากระดับ 116.11 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9173 ฟรังก์ จากระดับ 0.9162 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2755 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2705 ดอลลาร์แคนาดา
  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 392.54 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 400 จุดในวันพุธ (5 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงรุนแรงที่สุดในรอบ 11 เดือน หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,407.11 จุด ลดลง 392.54 จุด หรือ -1.07%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.58 จุด ลดลง 92.96 จุด หรือ -1.94% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,100.17 จุด ลดลง 522.54 จุด หรือ -3.34%
  • (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในธ.ค.ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย.  ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว
  • (-) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐพุ่งเกินคาดในเดือนธ.ค.ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 807,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 375,000 ตำแหน่ง จากระดับ 505,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.  ภาคบริการมีการจ้างงาน 669,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงาน 138,000 ตำแหน่ง
  • (-) คาดสหรัฐจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มกว่า 400,000 ตำแหน่ง หลังวูบหนักในเดือนพ.ย. นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 422,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.1%  ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 210,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 581,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.5%
  • (-) อิตาลีติดโควิดวันเดียวทำนิวไฮเกือบ 190,000 ราย ดันยอดรวมทะลุ 6.7ล้านรายกระทรวงสาธารณสุขอิตาลีเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 189,109 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563  นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตรายใหม่มีจำนวน 231 ราย ลดลงจากที่รายงานวานนี้ที่ระดับ 259 ราย  ขณะนี้ อิตาลีมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมกว่า 6.76 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 138,000 ราย

โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด

มีการเปิดเผยรายละเอียดผลการประชุม FOMC เดือน ธ.ค.ถึงความเป็นไปได้ที่ FEDจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของADP ขยายตัวมากขึ้นเป็น 2 เท่าจากที่คาดการณ์ ทำให้ Bond yield ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแรง และกดดันตลาดหุ้น แต่การเคลื่อนไหวของราคาทองคำกลับปรับตัวลดลงน้อยกว่าสินทรัพย์อื่นและเริ่มเห็นว่าราคายังยืนเหนือ $1800 จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังสูง จึงยังมองภาพบวกสำหรับราคาทองคำและยังมองว่ามี Upside ต่อจากนี้

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำยังคงมีการแกว่งตัวอย่างมาก โดยที่ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบ ระหว่าง 1,798 – 1,830 เหรียญ โดยเมื่อวานนี้ในช่วงต้นตลาดนิวยอร์กราคาทองคำดีดขึ้นไปทะลุ 1,820 เหรียญ และไปทำจุดสุงสุดบริเวณ 1,830 เหรียญได้ ก่อนจะมีแรงเทขายกลับลงมาและปิดตลาดที่ 1,810 เหรียญ หลังจากที่เฟดออกมาแสดงความคิดเห็นว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นและจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งภายในปีนี้ รวมถึงมีคณะกรรมการบางส่วนที่เริ่มเสนอให้เริ่มปรับลดขนาดงบดุลบัญชี(Balance Sheet) ทำให้มีแรงเทขายกลับเข้ามาในตลาด เช้านี้ราคาทองคำเปิดตลาดบริเวณ 1,809 เหรียญ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีการแกว่งตัวพร้อมกันกับค่าเงินบาท โดยที่เงินบาทเมื่อวานนี้ในช่วงเช้าแกว่งตัวบริเวณ 33.30 บาท/ดอลลาร์ และเมื่อคืนนี้ช่วงประมาณ 21.00 น. เงินบาทแข็งค่าปรับตัวลงมาแถวบริเวณ 33.15 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เช้านี้ค่าเงินบาทดีดกลับขึ้นมาที่ 33.28 บาท/ดอลลาร์ ถือเป็นการแกว่งตัวตามค่าเงินดอลลาร์ สำหรับดัชนีดอลลาร์เมื่อวานนี้เคลื่อนไหวในกรอบบริเวณ 96.33 จุด ในช่วงเช้า ก่อนที่จะลงไปจุดต่ำสุด 95.89 จุด ขณะที่เช้านี้มีการดีดกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 96.15 จุดแกว่งตัวเช่นเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ADP Non-Farm Employment Change ออกมาดีขึ้นอย่างมาก โดยประกาศออกมาที่ 807,000 ราย จากเดิมที่ 505,000 ราย ด้านกองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ขายออก 0.32 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 979.99 ตัน ซึ่ง SPDR เริ่มเป็นลักษณะของลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญวันนี้ ได้แก่ Unemployment Claims คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น และ Factory Orders m/m คาดการณ์ว่าจะทรงตัว หากทรงตัวจะทำให้ดอลลาร์ยืนเหนือ 96 จุดได้ สำหรับ Trade Balance และ ISM Services PMI คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองคำเป็นลักษณะแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยมีการเคลื่อนตัวในกรอบ 1,800-1,825 เหรียญ กลยุทธ์ยังเป็นการเก็งกำไรตามกรอบแนว Sideways เช่นเดิม เปิด Short เมื่อราคาเข้าใกล้บริเวณแนวกรอบแนวต้าน 1,825 –  1,830 เหรียญ และปิดทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวลง สำหรับ Gold Comex และ Gold Online Futures คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,800 เหรียญ และแนวต้าน 1,825 เหรียญ ด้านราคาทองคำไทยจะมีการปรับลดลงประมาณ 100 บาท/บาททองคำ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

ยังเทรดเก็งกำไรในกรอบ 1,800-1,825 เหรียญ ราคาทองคำยังเคลื่อนตัวในทิศทาง Sideways รอดูความชัดเจนของทิศทาง

– นักลงทุนที่ถือ Long Position

ลงซื้อขึ้นขาย ยังแนะนำทำกำไรระยะสั้น

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

แนะนำเล่นสั้นทำกำไรในกรอบ เปิดสถานะเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน และปิดทำกำไรเมื่อราคาย่อตัวลง

Gold Futures ขนาด 10 บาท G22 จะมีแนวรับที่ระดับ 28,500 บาท และแนวต้านที่ระดับ 28,800 บาท

ที่มา : gold.in.th ( 6 ม.ค. 65 )