- ราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
- คืนนี้สหรัฐจะประกาศจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครเดือนต.ค.
- แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,875 ดอลลาร์
- ราคาทองคำ Spot เมื่อวานปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เนื่องจากความหวังว่าสหรัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง ซึ่งนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา คาดว่าสภาคองเกรสจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวได้ภายในวันที่ 11 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐจะเผชิญภาวะชัตดาวน์ ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ถือครองทองคำเท่าเดิมเมื่อวาน หลังจากขายทองคำ 12.08 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา
- คืนนี้สหรัฐจะประกาศจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครเดือนต.ค. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 6.30 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 6.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ การประชุมธนาคารกลางยุโรป
- แนวโน้มราคาทองคำ Spot ระยะสั้นคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,875 ดอลลาร์ โดยมีแนวรับที่ 1,850 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 1,825 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 1,875 ดอลลาร์ และแนวต้านถัดไปที่ 1,890 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,870.10 | +9.70 | 1,850/1,825 | 1,875/1,890 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
26,550 | +300 | 26,400/26,100 | 26,650/26,800 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
26,680 | +90 | 26,530/26,220 | 26,800/27,000 |
แนะนำเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาทองคำ Spot ปรับลงมาที่ 1,850 ดอลลาร์ (GF 26,530 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,840 ดอลลาร์ (GF 26,430 บาท)
การลงทุนในทองแท่ง แนะนำทยอยซื้อสะสมที่ราคาทองคำ Spot 1,825 ดอลลาร์ และ 1,800 ดอลลาร์
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,871.10 | +5.70 | 1,850/1,825 | 1,875/1,890 |
แนะนำเปิดสถานะซื้อเมื่อราคา GOZ20 ปรับลงมาที่ 1,850 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,840 ดอลลาร์
เงินบาท
ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดจะเริ่มทรงตัว หลังจากแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อวานเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าอังกฤษอาจจะต้องแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) หลังจากการเจรจาระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปยังคงไม่มีความคืบหน้า สำหรับ USD Futures เดือนธ.ค.63 คาดจะมีแนวรับที่ 30 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 30.20 บาท/ดอลลาร์
News
ตลาดการเงินต่างประเทศ : ปอนด์อ่อนเทียบดอลล์ วิตกอังกฤษเผชิญ no-deal Brexit
เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า อังกฤษอาจจะเผชิญกับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) หลังจากการเจรจาระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ยังคงไม่มีความคืบหน้า ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.18% แตะที่ 90.9495 เมื่อคืนนี้
ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดบวก $8.9 เก็งสหรัฐกระตุ้นศก.,บอนด์ยีลด์ร่วงหนุนแรงซื้อ
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สหรัฐจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ การปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐยังเป็นปัจจัยดึงดูดแรงซื้อทองคำ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.48% ปิดที่ 1,874.9 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.ปีนี้
ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ : น้ำมัน WTI ปิดลบ 16 เซนต์ วิตกล็อกดาวน์ฉุดดีมานด์น้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 45.60 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. ขยับขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 48.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดาวโจนส์ปิดบวก 104.09 จุด ข่าววัคซีนคืบหน้าหนุนแรงซื้อหุ้นสุขภาพ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ หลังมีข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ รวมทั้งการโหวตร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล (ชัตดาวน์) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,173.88 จุด เพิ่มขึ้น 104.09 จุด หรือ +0.35% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,702.25 จุด เพิ่มขึ้น 10.29 จุด หรือ +0.28% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,582.77 จุด เพิ่มขึ้น 62.82 จุด หรือ +0.50%
อังกฤษ-อียูไม่คืบหน้าเจรจาข้อตกลงการค้า เหตุยังเห็นต่างบางประเด็น
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการทำข้อตกลงการค้า เนื่องจากยังคงมีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันหลังจากที่โทรศัพท์คุยกันเมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สองในรอบ 48 ชั่วโมง และสิ้นสุดลงโดยไม่มีความคืบหน้าสำคัญใดๆ แถลงการณ์ระบุว่า “เราเห็นตรงกันว่า เรายังตกลงเงื่อนไขในการบรรลุข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ เนื่องจากยังคงมีความคิดเห็นแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญใน 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ นโยบายส่งเสริมการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ระบบการจัดการ และการประมง เราได้ขอให้หัวหน้าคณะเจรจาและทีมงานเตรียมสรุปความคิดเห็นที่แตกต่างกันนี้ เพื่อนำไปหารือในการประชุมที่บรัสเซลส์ในอีกไม่กี่วันที่จะถึง” สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นายบอริส จอห์นสัน น่าจะเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม เพื่อร่วมการเจรจาการค้าในระยะสำคัญ ก่อนหน้านี้ นางฟอน เดอร์ เลเยนและนายจอห์นสัน ได้หารือกันทางโทรศัพท์เมื่อวันเสาร์ เนื่องจากผู้นำการเจรจาของทั้งสองฝ่ายหยุดการเจรจาชั่วคราวจากความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นหลักบางข้อ นอกจากนี้ โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรีอังกฤษยังเปิดเผยเมื่อคืนนี้ด้วยว่า อังกฤษพร้อมที่จะเจรจาข้อตกลงการค้าตราบเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย แต่จะไม่ยอมรับการขยายระยะเวลาเปลี่ยนผ่านหลังอังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และปฏิเสธที่จะหารือต่อหลังพ้นปีนี้ไปแล้ว ทั้งนี้ การเจรจาการค้าในช่วงเวลานี้สำคัญมาก เนื่องจากใกล้หมดเวลาที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องบรรลุข้อตกลงก่อนสิ้นสุดช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านหลังการถอนอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปที่จะสิ้นสุดลงสิ้นปีนี้ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ นั่นหมายถึงในปี 2564 การค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นไปตามตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO)
“ทรัมป์” จ่อลงนามคำสั่งพิเศษให้ชาวมะกันได้ฉีดวัคซีนโควิดก่อนช่วยปท.อื่น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามคำสั่งพิเศษในวันนี้ (8 ธ.ค.) เพื่อสร้างความมั่นใจว่า วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลสหรัฐดำเนินการจัดซื้อนั้นจะได้รับการส่งมอบให้กับชาวอเมริกันเป็นกลุ่มแรก ก่อนที่จะนำไปให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งระบุว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์แสดงความมั่นใจว่า สหรัฐจะได้รับวัคซีนที่เพียงพอสำหรับฉีดให้ทุกคนที่ต้องการได้ภายในช่วงไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งขัดแย้งกับรายงานข่าวของนิวยอร์ก ไทมส์ที่ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า ไฟเซอร์ได้เสนอขายวัคซีนเพิ่มเติมให้กับสหรัฐเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา คำสั่งพิเศษจะช่วยกำหนดกรอบการทำงานให้กับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในการให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆ เพื่อให้ได้รับวัคซีน หลังจากที่ประชาชนในสหรัฐได้รับวัคซีนเพียงพอแล้ว ขณะที่ทำเนียบขาวได้จัดการประชุม “Vaccine Summit” ขึ้นในวันนี้ เพื่อเน้นย้ำและอธิบายถึงแผนการแจกจ่ายวัคซีนภายใต้โครงการ Operation Warp Speed ที่มีเป้าหมายให้ชาวสหรัฐได้ฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ภายในสิ้นปีนี้ ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยาระบุว่า ทำเนียบขาวจะใช้การประชุมดังกล่าวเป็นโอกาสในการกดดัน FDA ให้เร่งอนุมัติการใช้วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และบริษัทโมเดอร์นา อิงค์เป็นกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ต้องการจะได้รับการชื่นชมสำหรับการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19
FDA อาจไฟเขียวสัปดาห์นี้ให้ใช้วัคซีนต้านโควิดของไฟเซอร์เป็นกรณีฉุกเฉิน
คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) อาจอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า สหรัฐอาจเผชิญกับวิกฤตด้านสาธารณสุขครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงฤดูหนาวนี้ ทั้งนี้ FDA มีกำหนดจัดประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนและยาชีววัตถุที่เกี่ยวข้อง (VRBPAC) ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ธ.ค. นี้ เพื่อทบทวนเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐและบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี ก่อนที่จะอนุมัติให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน “หากคณะกรรมการ FDA ตัดสินใจอนุมัติให้ใช้วัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉินในวันที่มีการลงมติ เราอาจได้เห็นการฉีดวัคซีนทั่วประเทศเร็วสุดในวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค.นี้” นายเจมส์ ฮิลเดรธ คณะกรรมการ VRBPAC ให้สัมภาษณ์ในรายการ Weekend Today ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ทั้งนี้ การอนุมัติให้ใช้วัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉินนั้น หมายความว่า FDA จะอนุญาตให้ประชาชนในวัยผู้ใหญ่เข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นบางส่วนก่อน เนื่องจากขณะนี้ FDA ยังคงประเมินข้อมูลอยู่ ซึ่งในกรณีนี้จะต่างจากการอนุมัติให้ฉีดวัคซีนได้โดยทั่วไป ที่มักใช้เวลานานหลายเดือน ก่อนหน้านี้ FDA ได้อนุมัติให้ใช้ยา remdesivir ของบริษัทกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) เพื่อรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยทั่วไปเมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่เมื่อเดือนพ.ค. FDA ได้อนุมัติให้มีการใช้ยาดังกล่าวในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
อังกฤษเล็งทดลองฉีดวัคซีนโควิดของไฟเซอร์-แอสตร้าฯร่วมกัน หวังเพิ่มประสิทธิภาพ
รัฐบาลอังกฤษวางแผนที่จะทดลองฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ร่วมกับวัคซีนโควิดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า โดยมีเป้าหมายที่จะประเมินว่า การใช้วัคซีนของทั้งสองบริษัทร่วมกันนั้น จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ได้ตามแผนการที่วางไว้สำหรับปีหน้าได้หรือไม่ คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านวัคซีนของอังกฤษได้เปิดเผยแผนการดังกล่าวในระหว่างการเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าของวัคซีน ซึ่งรวมถึง การทำข้อตกลงเพื่อซื้อวัคซีนจำนวน 357 ล้านโดสจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน 7 ราย และการลงทุนในพื้นที่ 3 แห่งเพื่อขยายกำลังการผลิตวัคซีนภายในประเทศ นายไคล์ฟ ดิ๊กซ์ รองประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านวัคซีนของอังกฤษกล่าวว่า “นี่จะเป็นการทดลองในขนาดเล็กๆ และจะเป็นการทดลองกับวัคซีนที่ได้รับอนุมัติแล้วเท่านั้น” ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐและบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนีแล้ว และจะเริ่มแจกจ่ายให้กับประชาชนในวันนี้ ซึ่งนับเป็นประเทศแรกในฝั่งตะวันตกที่ได้รับวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ขณะที่อังกฤษกำลังเผชิญกับความท้าทายในการขนส่งวัคซีนจำนวนมาก เพื่อนำไปฉีดให้กับประชาชนจำนวนมากถึง 67 ล้านคนในโรงพยาบาลราว 50 แห่ง ส่วนการอนุมัติให้ใช้วัคซีนซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้
ขอขอบคุณ : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮงโกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (HGF)