สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นในเดือนธ.ค. รวมทั้งแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 10.7 ดอลลาร์ หรือ 0.58% ปิดที่ 1,854.9 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 13.7 เซนต์ หรือ 0.54% ปิดที่ 25.572 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 42.9 ดอลลาร์ หรือ 4.02% ปิดที่ 1,110.7 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 20.90 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 2,397.10 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. ส่วนเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 1.4% หลังจากปรับตัวขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ย. โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนี CPI ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
ทางด้านนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในวันนี้ เพื่อเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการดังกล่าวจะมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 232 ต่อ 197 ถอดถอนปธน.ทรัมป์ ด้วยความผิดในข้อหายุยงปลุกปั่นให้กลุ่มผู้สนับสนุนของเขาบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้สภาผู้แทนฯจะส่งญัตติการถอดถอนปธน.ทรัมป์ให้กับวุฒิสภาสหรัฐเพื่อพิจารณาเป็นลำดับต่อไปว่า จะลงมติถอดถอนหรือคัดค้านการถอดถอนปธน.ทรัมป์