บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 13 ก.ย.64 by HGF, GT, SCT, TDC, MTS, YLG, GCAP
โดย : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)
ทองคำลดลงจากดัชนีราคาผู้ผลิตสหรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัปดาห์นี้ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภคและยอดค้าปลีกของสหรัฐ
ราคาทองคำคาดปรับลดลงทดสอบแนวรับ 1,780 ดอลลาร์
- สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำSpot ปรับลดลงเนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10ปีเพิ่มขึ้น แต่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในวันพฤหัสทำให้ราคาทองคำปรับขึ้น หลังจากธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินป้องกันผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19(PEPP) ในวันศุกร์ทองคำโดนแรงเทขายเนื่องจากสหรัฐประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบรายปีซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับลดวงเงินมาตรการ QE และเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 โดยขายทองคำ 0.35 ตันในสัปดาห์ผ่านมา
- สัปดาห์นี้ติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคและยอดค้าปลีกของสหรัฐเดือนส.ค. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอื่นๆ ได้แก่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์กเดือนก.ย.ดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนก.ย.และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.
- แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดจะปรับลดลงทดสอบแนวรับ 1,780 ดอลลาร์ โดยมีกรอบการเคลื่อนไหว 1,780-1,810 ดอลลาร์ซึ่งทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์และ 1,770 ดอลลาร์ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์และ 1,810-1,815 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,787.52 | -6.58 | 1,780/1,770 | 1,800/1,810 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
27,800 | -50 | 27,650/27,550 | 27,900/28,050 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
27,820 | -120 | 27,730/27,580 | 28,020/28,170 |
เทรดดิ้งระยะสั้นแนะนำซื้อขายตามกรอบราคาทอง Spot ระหว่าง 1,780-1,810ดอลลาร์(GF27,730-28,170บาท) รวมทั้งแนะนำเปิดสถานะขายเมื่อราคาทอง Spot ปรับขึ้นมาที่บริเวณ 1,810ดอลลาร์ (GF 28,170บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,815ดอลลาร์ (GF 28,230บาท)
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,789.10 | -10.40 | 1,782/1,772 | 1,802/1,812 |
เทรดดิ้งระยะสั้นแนะนำซื้อขายตามกรอบราคา GOU21ระหว่าง 1,782-1,812ดอลลาร์รวมทั้งแนะนำเปิดสถานะขายเมื่อราคา GOU21ปรับขึ้นมาที่บริเวณ 1,812ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,817ดอลลาร์
ค่าเงิน
ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดอ่อนค่าลงทั้งนี้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องจากสหรัฐประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบรายปีซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับลดวงเงินมาตรการ QE และเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งUSD Futures เดือนก.ย.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 32.60 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 32.80บาท/ดอลลาร์
News
ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลล์แข็งเทียบสกุลเงินหลักขานรับข้อมูลศก.สหรัฐแกร่ง
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินเพิ่มขึ้น 0.10% แตะที่ 92.5779 เมื่อคืนนี้
ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดลบ $7.9 เหตุดอลล์แข็ง-นลท.เทขายกดดันตลาด
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยยังคงปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดนอกจากนี้นักลงทุนยังเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังประธานาธิบดีโจไบเดนได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในวันศุกร์ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.9 ดอลลาร์หรือ 0.44% ปิดที่ 1,792.1 ดอลลาร์/ออนซ์และร่วงลงมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 27.7 เซนต์หรือ 1.15% ปิดที่ 23.9 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดพุ่ง $1.58 ขานรับสหรัฐ-จีนเจรจาลดความขัดแย้ง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโจไบเดนกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวของปริมาณน้ำมันในสหรัฐหลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนไอดาสัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์หรือ 2.3% ปิดที่ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรลและปรับตัวขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์หรือ 2.1% ปิดที่ 72.92 ดอลลาร์/บาร์เรลและปรับตัวขึ้น 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นต่างประเทศ : ดาวโจนส์ปิดลบ 271.66 จุดวิตกเฟดลดQE เร็วกว่าคาดหลังเงินเฟ้อพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐหลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. และนักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,607.72 จุดลดลง 271.66 จุดหรือ -0.78%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,458.58 จุดลดลง 34.70 จุดหรือ -0.77% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,115.49 จุดลดลง 132.76 จุดหรือ -0.87% ในรอบสัปดาห์นี้ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.15%, ดัชนีS&P500 ลดลง 1.7% และดัชนีNasdaq ลดลง 1.61%
ปธ.เฟดแอตแลนตาเชื่อมั่นเฟดจะเริ่มลดQE ปีนี้หลังเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
นายราฟาเอลบอสติกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่าเขาเชื่อว่าเฟดจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตราผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้แม้เขาไม่คาดว่าเฟดจะตัดสินใจประกาศแผนการดังกล่าวในการประชุมเดือนนี้ก็ตาม “ตราบใดที่ข้อมูลเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งในช่วงต้นฤดูร้อนผมก็มั่นใจว่าเฟดจะปรับลดวงเงินQE ในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้” นายบอสติกกล่าวประธานเฟดสาขาแอตแลนตายังกล่าวด้วยว่า “เรายังไม่พบว่ามีข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมาซึ่งทำให้ผมมองว่ามีโอกาสอย่างมากที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินQE ในปีนี้และการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม” ทั้งนี้นายบอสติกซึ่งปัจจุบันเป็นกรรมการที่มีสิทธิออกเสียงในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) นั้นไม่คาดว่าเฟดจะประกาศปรับลดวงเงินQE ในการประชุมวันที่21-22ก.ย.นี้ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนส.ค.จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่คณะกรรมการเฟดใช้ในการพิจารณาว่าจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินQE หรือไม่ในการประชุมเดือนนี้ทั้งนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง235,000ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ720,000ตำแหน่งหลังจากพุ่งขึ้น1,053,000ตำแหน่งในเดือนก.ค.
ไบเดนยกหูหารือสีจิ้นผิงหวังหลีกเลี่ยงความขัดแย้งสองประเทศ
ประธานาธิบดีโจไบเดนแห่งสหรัฐได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเป็นเวลา90นาทีในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทยและเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้โดยผู้นำทั้งสองหารือกันเกี่ยวกับความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการแข่งขันซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างสองประเทศทำเนียบขาวเปิดเผยว่าปธน.ไบเดนและปธน.สีได้หารือกันในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศรวมไปถึงด้านผลประโยชน์, คุณค่าและมุมมองที่แตกต่างกันนอกจากนี้การสนทนายังมุ่งเน้นในประเด็นเศรษฐกิจ, ภาวะโลกร้อนและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โมเดอร์นาเร่งพัฒนาวัคซีนแบบโดสเดียวเป็นบูสเตอร์ต้านโควิดและไข้หวัดใหญ่
บริษัทโมเดอร์นาอิงค์เปิดเผยว่าทางบริษัทกำลังพัฒนาวัคซีนแบบโดสเดียวซึ่งจะรวมวัคซีนบูสเตอร์ป้องกันไวรัสโควิด-19และไข้หวัดใหญ่ไว้ในเข็มเดียวกันโดยโมเดอร์นาคาดหวังว่าทางบริษัทจะสามารถเพิ่มประเภทของวัคซีนในหมวดที่ใช้ในการป้องกันไวรัสทางเดินหายใจ (RSV) และโรคทางเดินหายใจประเภทอื่นๆด้วยการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียวต่อปี “เราชื่อว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้าหากเราสามารถรวมวัคซีนที่สามารถป้องกันไวรัสทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพไว้ในวัคซีนบูสเตอร์และฉีดเพียงเข็มเดียวต่อปีเราเชื่อว่าโมเดอร์นาจะเป็นบริษัทแรกที่ทำตลาดวัคซีนชนิดใหม่นี้” นายสเตฟานบันเซลซีอีโอของโมเดอร์นากล่าวทั้งนี้ข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นโมเดอร์นาปิดตลาดพุ่งขึ้น7.81%ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้รายงานระบุว่าโมเดอร์นากำลังทำการทดลองวัคซีนRSV ทางคลินิกกับอาสาสมัครวัยผู้ใหญ่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทโมเดอร์นารวมทั้งไฟเซอร์และไบออนเทคจะทำรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการจำหน่ายวัคซีนบูสเตอร์หรือวัคซีนเข็ม3เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัสโควิด-19นอกจากนี้การรวมวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่และโรคอื่นๆเข้าไว้ด้วยกันจะช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัทเหล่านี้ด้วย
โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด
Fundamental
- ประธาน Fed สาขาคลีฟแลนด์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯจะยังคงพุ่งสูงขึ้นในปีนี้ แต่ปีหน้าจะลดลง จึงควรลด QE ในปีนี้ แม้การจ้างงานอ่อนแอลงก็ตาม
- สหรัฐฯเผยว่า ดัชนี PPI ในเดือนส.ค.พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่+8.3%
Technical
- ราคาพยายามพุ่งผ่านเส้น MAแต่ยืนไม่ได้ และถูกเทขายกดลงมาอีกครั้ง ระยะสั้นจึงมีแนวโน้มทรงตัว แต่มีโอกาสจะเลือกทางขาลงมากขึ้น
- RSI แกว่งในกรอบจำกัด โดยมีเส้น MA เป็นแนวต้าน ระยะสั้นมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อยจากการลงมาต่ำของ RSI แต่เส้น MA ที่เริ่มชี้ลงเป็นตัวกดดันทิศทางราคาให้มีแนวโน้มจะเลือกลงต่อ
- ทิศทางวันนี้1,780-1,800 รอปัจจัยใหม่
- จับจังหวะเล่นยังไง?เก็งกำไรในกรอบ 1,780-1,800และเปลื่ยนมา breakout follow ทันทีที่ออกจากกรอบ
Attention
- สัปดาห์นี้ จับตาประกาศข้อมูลเศรษฐกิจจีน เพราะมีผลต่อราคาน้ำมันในฐานะอุปสงค์สำคัญท่ามกลางภาวะอุปทานที่ยังไม่ฟื้นจากพายุไอดาในสหรัฐฯ
- เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้ากำลังแพร่กระจายทั่วโลก และยังไม่มีวิธีหรือวัคซีนใดที่ป้องกันได้ผลชัดเจน
โดย : บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จํากัด
คำแนะนำ : ยืน 1800 ไม่ได้ มอง SW DOWN / สัปดาห์นี้จับตาเงินเฟ้อ&ขายปลีก
แนวรับ 1780 / 1775/ 1770 แนวต้าน 1800|1810|1825
Gold/silver USD Baht DOW (stock)
ระยะสั้น SW /SW DOWN SW SW SWDOWN
ระยะกลาง SW/SW UP SW SW SW UP
ระยะยาว BULLISH Neutral NEUTRAL BULLISH
คำแนะนำรายวัน SIDEWAY DOWN 1775-1810
จุดเข้า BUY 1771-80
เป้าหมาย 1810-30
SL 1770รายสัปดาห์
คำแนะนำรายเดือน 1770-1890
จุดเข้า BUY 1780-90 เป้าหมาย 1830/ 1875
SL 1770
บทวิเคราะห์ : สัปดาห์ที่ผ่านมาทองอ่อนแอไม่สามารถยืน $1800 ได้ ดูแย่กว่าที่คาดการณ์ ทั้งนี้เนื่องจากสมาชิกเฟดหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าต้องการการรีบลด QE ให้ไว หลังดัชนีเงินเฟ้ออยู่ระดับสูงมาหลายเดือน ขัดแย้งกับคำพูดปธ.เฟดที่ย้ำว่าเงินเฟ้อขึ้นเป็นแค่ชั่วคราว ภาพรวมระยะสั้น ทองตอนนี้ถูกมองเป็นการ SIDEWAYS ในกรอบ $1772-1825 รอการประชุม FOMC ในกลางสัปดาห์หน้าชี้ชะตา สัปดาห์นี้ตัวเลขที่น่าจับตามองคือ ดัชนีเงินเฟ้อวันพรุ่งนี้ และดัชนีค้าปลีกสหรัฐฯในวันศุกร์ คาดว่าราคาจะแกว่งไปมาในกรอบ การปิดตลาดที่ต่ำกว่า $1770 จะทำให้ราคาทองเป็นลบ อาจลงไปทดสอบ $1750 แต่การย่อแรงๆให้ทยอยซื้อ
กลยุทธ์ : ทองยังต้องการเวลาสะสมพลังรอบใหม่ แนะการเทรดย่อซื้อ ขึ้นขายสั้นๆต่อ หรือจะทยอยซื้อสะสมระยะกลางสำหรับการขึ้นไปทดสอบระดับ $1860/1900 ในไตรมาสนี้ ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่าหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นจากคลายล็อค แต่การเมืองเริ่มมีปัญหาทำให้บาทไทยแกว่งลบได้ หรือมองว่าบาทไทยจะแกว่งตัวออกข้างคล้ายทอง
โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด
ตลาดหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวอย่างจำกัด และในวันศุกร์ได้รับแรงกดดันจากราคาหุ้นของ Apple ที่ปรับตัวลดลงกว่า -3.3% หลังจากศาลตัดสินให้บริษัทต้องเปิดช่องให้ผู้บริโภคมีวิธีชำระเงินบนระบบ iOSด้วยวิธีอื่นได้จากเดิมที่จะจำกัดอยู่แค่ In-App Purchase ซึ่ง Apple จะหักส่วนแบ่งไปทันทีกว่า 30% นอกจากนี้ยังมีการประกาศดัชนีราคาผู้ผลิตซึ่งมีการขยายตัวสูงถึง 8.3% YoYสูงสุดนับตั้งแต่ปี2010 กดดันราคาทองคำ ในระยะนี้มองการปรับตัวลดลงสู่ $1760
โดย : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)
ทิศทางราคาทองคำ
ราคาทองคำในวันศุกร์ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่อง Tapering QE ที่จะมีเข้ามา และจะมีการประชุมของเฟดในสัปดาห์หน้าระหว่าง 21-22 ก.ย. โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนี PPI และ Core PPI มาขยายตัวตามคาด ในขณะที่กองทุน SPDR ไม่ได้ทำอะไรยังถือครองเท่าเดิมที่ 998.17 ตัน ในส่วนของดัชนีดอลลาร์ปิดแข็งค่ามาที่ 92.57 จุด ทางด้านดัชนีดอลลาร์เช้านี้อยู่ที่ 92.64 จุด ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่มายืนเหนือระดับ 32.75 บาท/ดอลลาร์ได้อีกครั้ง ภาพรวมของตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ไม่มี
วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค
ราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มทิศทางขาลง หลังจากที่ปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,790 เหรียญลงมา จึงทำให้ภาพรวมยังเป็นลักษณะของ Sideway Down วันนี้คาดว่าราคาจะมีกรอบแนวรับที่ 1,775 เหรียญ และแนวต้าน 1,795 เหรียญ ทางด้าน Gold Comex และ Gold Online Futures จะมีแนวรับ 1,777 เหรียญ และแนวต้าน 1,797 เหรียญ อย่างไรก็ดี ทองคำไทยคาดว่าจะเปิดปรับลงราว 50 บาท/บาททองคำ หรือเท่าเดิ
กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้
แนะนำ Sideway Down เก็งกำไรกรอบขาลงระยะสั้นๆ เข้าออกเร็วในวัน มี Stop Loss หากสูงกว่า 1,795 เหรียญขึ้นไป
– นักลงทุนที่ถือ Long Position
แนะนำให้ปิด – ปรับลดสถานะ จากภาวะการแกว่งตัวในทิศทางขาลงของตลาด
– นักลงทุนที่ถือ Short Position
แนะนำปิดทำกำไรตามการอ่อนตัว และรอเปิดสถานะตามการรีบาวน์ โดยมี Stop Loss เสมอหากสูงกว่าแนวต้าน
Gold Futures 10V21 จะมีแนวรับที่ระดับ 27,700 บาท และแนวต้านที่ระดับ 28,000 บาท
โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
ซื้อขายทำกำไรระยะสั้นตามกรอบราคา ระหว่างวันหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้าน1,800-1,802 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อาจจะเห็นการอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับบริเวณ 1,775-1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,775 1,757 1,740 แนวต้าน : 1,802 1,816 1,833
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวลดลง 6.58ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันการอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์จะหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,803.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้ โดยปรับตัวลดลงหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6% และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2010 สะท้อนว่าเงินเฟ้อในสหรัฐจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)ภายในปีนี้ ตอกย้ำการคาดการณ์ดังกล่าวด้วยความเห็นของนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดคลีฟแลนด์ ที่ออกมาสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงิน QE ในปีนี้ แม้สหรัฐมีการจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค.ก็ตาม ปัจจัยที่กล่าวมาหนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น 0.13% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับสูงสุดที่ 1.353% จนเป็นปัจจัยกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเพิ่ม นั่นทำให้ราคาทองคำร่วงลงจากระดับสูงสุดในระหว่งวันสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,786.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์พร้อมปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาในแดนลบเป็นสัปดาห์แรกหลังจากปิดบวกมา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำมาเปลี่ยนแปลง สำหรับวันนี้ไม่มีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
หากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,800-1,802 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อาจทำให้เกิดการอ่อนตัวลงของราคาทดสอบแนวรับโซน 1,782-1,775 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือโซนแนวรับแรกได้ก็จะเห็นการอ่อนตัวลง โดยมีโอกาสที่จะราคาทดสอบแนวรับถัดไปบริเวณ 1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
การเข้าซื้อขายทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัวในกรอบ แนะนำรอดูบริเวณ 1,800-1,802 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่ผ่านสามารถเปิดสถานะขายทำกำไรระยะสั้น (ตัดขาดทุนสถานะขายหากราคาผ่าน 1,816 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้) ทยอยซื้อคืนเพื่อปิดสถานะขายเมื่อราคาอ่อนตัวลงบริเวณแนวรับ1,775-1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) CDC สหรัฐชี้คนไม่ฉีดวัคซีนมีแนวโน้มเสียชีวิตจากโควิดมากกว่าคนฉีดแล้ว 11 เท่าผลการศึกษาครั้งใหม่ของสหรัฐที่เปิดเผยในวันศุกร์ (10 ก.ย.) บ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันอาการป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ขณะที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตายังคงแพร่ระบาดทั่วประเทศศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า จากการติดตามศึกษากรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 600,000 รายใน 13 รัฐตั้งแต่เดือนเม.ย.ถึงกลางเดือนก.ค.พบว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนมีแนวโน้มติดเชื้อไวรัสโควิดมากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วประมาณ 4.5 เท่า, มีโอกาสที่จะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 10 เท่า และมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว 11 เท่าดร.โรเชลล์ วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการ CDC เปิดเผยในการแถลงที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ว่า “การฉีดวัคซีนได้ผล” และ “สิ่งสำคัญที่สุดคือ เรามีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เราต้องการเพื่อพลิกสถานการณ์การระบาดใหญ่นี้”
- (+) ดาวโจนส์ปิดลบ 271.66 จุด วิตกเฟดลด QE เร็วกว่าคาดหลังเงินเฟ้อพุ่งดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐหลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. และนักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,607.72 จุด ลดลง 271.66 จุด หรือ -0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,458.58 จุด ลดลง 34.70 จุด หรือ -0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,115.49 จุด ลดลง 132.76 จุด หรือ -0.87%
- (-) สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 1.2% ในเดือนมิ.ยเมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 11.5% ในเดือนก.ค.ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนมิ.ย.
- (-) ประธานเฟดคลีฟแลนด์หนุนหั่น QE ปีนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานวูบในเดือนส.ค.นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ กล่าวสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ แม้สหรัฐมีการจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค.ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 720,000 ตำแหน่ง หลังจากพุ่งขึ้น 1,053,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. “ดิฉันไม่คิดว่าตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค.จะเปลี่ยนแปลงมุมมองของดิฉันที่ว่าเฟดมีความคืบหน้าอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้อ” นางเมสเตอร์กล่าว
- (-) สหรัฐเผยดัชนี PPI พุ่งเป็นประวัติการณ์ 8.3% ในเดือนส.ค.กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6% เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2553 หลังจากดีดตัวขึ้น 7.8% ในเดือนก.ค.ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนส.ค.2557
- (-) ดอลล์แข็งเทียบสกุลเงินหลัก ขานรับข้อมูลศก.สหรัฐแกร่งดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.10%แตะที่ 92.5779 เมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.89 เยน จากระดับ 109.69 เยน, แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9178 ฟรังก์ จากระดับ 0.9168 ฟรังก์ และดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2658 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2649 ดอลลาร์แคนาดายูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1815 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1829 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7364 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7371 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าแตะที่ระดับ 1.3845 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3837 ดอลลาร์
โดย : บริษัท จีแคป จำกัด
แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้
มุมมองทองคำภาคเช้า ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ (10 ก.ย.) โดยยังคงปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด นอกจากนี้นักลงทุนยังเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในวันศุกร์ ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน
มีรายงานว่าผู้นำสหรัฐและจีนหารือกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ. และเป็นครั้งที่ 2 ของปธน.ไบเดนนับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. ผู้นำทั้งสองหารือกันเกี่ยวกับความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการแข่งขันซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจขนาดเล็ก NFIB ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีภาคการผลิตสาขานิวยอร์ก ดัชนีราคาสินค้านำเข้า ดัชนีราคาสินค้าส่งออก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ดัชนีภาคการผลิตจากเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย ยอดค้าปลีก ดัชนีสินค้าคงคลังภาคธุรกิจความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เป็นต้น
สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้
แนะแนวทางการลงทุน
แนวรับ 1,776 – 1,769- 1,764
แนวต้าน 1,800 – 1,805 – 1,810
ราคาทองคำระยะสั้นยังเคลื่อนไหวภายในกรอบแคบ อย่างไรก็ตามกราฟทองคำระยะสั้นเริ่มมีสัญญาณ Bullish Divergence เกิดขึ้นแล้ว อาจเห็นการรีบาวน์ขึ้นอีกครั้งแต่การดีดตัวนั้นยังทำได้จำกัด เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าและบอนด์ยีลด์ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด แนะลงทุนภายในกรอบ
ที่มา : gold.in.th ( 13 ก.ย. 64 )
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.