ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 8 พ.ย.64 by HGF, SCT, GT, MTS,YLG, TDC, GCAP

718

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ทองคำฟื้นตัวต่อเนื่องเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย

สัปดาห์นี้ติดตามอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเดือนต.ค.

ราคาทองคำอาจมีการปรับฐานแต่คาดเพื่อปรับขึ้นได้ต่อ

  • สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำ Spot ปรับลดลง เนื่องจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดวงเงินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนตั้งแต่เดือนพ.ย.และคาดจะยุติมาตรการ QE ในช่วงกลางปีหน้าแต่ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลงและประธานเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่วนการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่ง ดีกว่าตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 455,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 312000 ตำแหน่ง ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำ6.73 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • สัปดาห์นี้ติดตามอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐเดือนต.ค. ทั้งดัชนีราคาผู้ผลิตในวันอังคารและดัชนีราคาผู้บริโภคในวันพุธถ้าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังออกมาในระดับที่สูง ตลาดอาจกังวลว่าเฟดจะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยและอาจกดดันต่อราคาทองคำไม่ให้ปรับขึ้นไปได้ไกล ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอื่นๆที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครเดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spotระยะสั้นอาจมีแรงเทขายทำกำไรหลังจากปรับขึ้นแรง แต่คาดจะปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,833 ดอลลาร์ได้ในระยะถัดไป ระยะสั้นทองคำมีแนวรับอยู่ที่1,800 ดอลลาร์และ1,785 ดอลลาร์ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,818 ดอลลาร์และ 1,833 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

- Advertisement -

Closechg.SupportResistance
1,816.70+25.731,800/1,7851,818/1,833

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,500+20028,250/28,00028,500/28,700

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,650+20028,380/28,15028,650/28,860

แนะนำซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,785ดอลลาร์ (GF 28,380บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,780 ดอลลาร์ (GF28,150บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,817.00+19.601,802/1,7871,820/1,835

แนะนำซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาGOZ21 ปรับลงมาที่ 1,787ดอลลาร์โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,782ดอลลาร์

ค่าเงิน

ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดจะแข็งค่าขึ้น โดยคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.30บาท/ดอลลาร์ทั้งนี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (5พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐโดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 33.10บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน33.30บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลลาร์อ่อนค่าหลังตลาดขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่ง

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.03% แตะที่ 94.3267 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดพุ่ง 23.3 ดอลล์บอนด์ยีลด์ร่วงหนุนตลาด

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐหลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ดีกว่าคาดทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 23.3 ดอลลาร์หรือ 1.3% ปิดที่ 1,816.8 ดอลลาร์/ออนซ์และปรับตัวขึ้นราว 1.8% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 24.6 เซนต์หรือ 1.03% ปิดที่ 24.157 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดบวก 2.46 ดอลล์รับโอเปกพลัสเพิ่มการผลิตเท่าเดิม

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความวิตกเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวหลังจากที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. แม้ว่าสหรัฐกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันก็ตามสัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 2.46 ดอลลาร์หรือ 3.1% ปิดที่ 81.27 ดอลลาร์/บาร์เรลแต่ลดลงเกือบ 2.8% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 2.20 ดอลลาร์หรือ 2.7% ปิดที่ 82.74 ดอลลาร์/บาร์เรลแต่ลดลง 1.2% ในรอบสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นต่างประเทศ :ดาวโจนส์ปิดบวก 203.72 จุดขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่ง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 พ.ย.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐและข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์อิงค์ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,327.95 จุดเพิ่มขึ้น 203.72 จุดหรือ +0.56%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,697.53 จุดเพิ่มขึ้น 17.47 จุดหรือ +0.37% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,971.59 จุดเพิ่มขึ้น 31.28 จุดหรือ +0.20%

ผู้นำจีน-สหรัฐอาจเห็นชอบเปิดสถานกงสุลอีกครั้งหวังฟื้นความสัมพันธ์สองประเทศ

สำนักข่าวPolitico รายงานว่าประธานาธิบดีโจไบเดนแห่งสหรัฐและประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแห่งประเทศจีนอาจตกลงกลับมาเปิดสถานกงสุลอีกครั้งหลังจากที่ต้องถูกปิดไปเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐย่ำแย่ลงในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ซึ่งการกลับมาเปิดสถานกงสุลจะช่วยสร้างความคืบหน้าสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่มีรอยร้าวระหว่างสองประเทศ    Politico ซึ่งเป็นสื่อสหรัฐที่เน้นข่าวการเมืองระบุว่าปธน.สีและปธน.ไบเดนมีแนวโน้มที่จะประกาศการผ่อนปรนมาตรการจำกัดวีซ่าอีกด้วยนอกจากนี้ผู้นำทั้งสองอาจเห็นชอบต่อกรอบนโยบายที่มีเป้าหมายลดความตึงเครียดทางการค้าซึ่งปะทุขึ้นในช่วงการบริหารงานของอดีตปธน.ทรัมป์ขณะเดียวกันปธน.ไบเดนก็มีแนวโน้มจะจัดการเจรจาเพิ่มเติมระหว่างนักการทูตด้านสภาพอากาศย้อนกลับไปเมื่อเดือนก.ค.ปี2563สหรัฐได้แจ้งให้จีนปิดสถานกงสุลในเมืองฮิวสตันซึ่งส่งผลให้จีนตอบโต้กลับด้วยการสั่งปิดสถานทูตสหรัฐในเมืองเฉิงตูทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนโดยคณะบริหารของทรัมป์ระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจีนได้ทำการจารกรรมข้อมูลการค้าของสหรัฐและพยายามสร้างอิทธิพลที่มุ่งร้ายต่อสหรัฐแม้ว่าจะไม่เคยแสดงหลักฐานเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าวนอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังออกมาตรการจำกัดวีซ่าต่อนักเรียนนักศึกษาและนักข่าวในช่วงที่อดีตปธน.ทรัมป์กุมอำนาจรายงานระบุว่ากลุ่มสมาชิกสภาสังกัดพรรคเดโมแครตจำนวน4คนได้เขียนจดหมายถึงปธน.ไบเดนโดยเรียกร้องให้ผู้นำสหรัฐผลักดันให้มาตรการลดความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ร่วมกับจีนเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆในการประชุมกับปธน.สีซึ่งจีนมองว่าการดำเนินการลักษณะดังกล่าวเป็นความพยายามในการผลักดันให้จีนเข้าสู่โต๊ะเจรจานิวเคลียร์อันมีวัตุประสงค์เพื่อระงับโครงการของจีน

WHO ชี้ยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง

นายแพทย์ฮานส์คลูจผู้อำนวยการประจำภูมิภาคยุโรปสังกัดองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่ายุโรปกำลังเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ฟื้นตัวขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่ากังวลโดยเขาเตือนว่ายุโรปได้กลายเป็น “จุดศูนย์กลางของโรคระบาด” อีกครั้งหนึ่งทั้งนี้นายคลูจระบุว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเขากล่าวที่การแถลงข่าวว่า “วันนี้ทุกๆประเทศในยุโรปและเอเชียกลางกำลังเผชิญภัยคุกคามจากการฟื้นตัวของโควิด-19 อย่างแท้จริงหรือกำลังต่อสู้กับสิ่งนี้แล้วโดยสถานการณ์ล่าสุดใน 53 ประเทศนับเป็นเรื่องน่ากังวลใจอย่างยิ่ง”   ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมายอดผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นเกือบแตะที่ระดับ 1.8 ล้านคนขณะยอดผู้เสียชีวิตใหม่อยู่ที่ราว 24,000 คนส่วนประเทศสมาชิกของWHO ในยุโรปและเอเชียกลางมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม 6% และยอดการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 12% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าทั้งนี้ยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปและเอเชียกลางคิดเป็น 59% ของยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกและส่วนยอดผู้เสียชีวิตคิดเป็นสัดส่วน 48% ของจำนวนทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

รัฐบาลญี่ปุ่นเผย “คิชิดะ” อาจเยือนสหรัฐเพื่อพบปะ “ไบเดน” ก่อนสิ้นปีนี้

นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะคิชิดะอาจเดินทางเยือนสหรัฐเพื่อพบปะกับประธานาธิบดีโจไบเดนของสหรัฐก่อนสิ้นปีนี้นายโยชิฮิโกะอิโซซากิรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นแถลงต่อสื่อมวลชนว่า “เรากำลังเตรียมการเพื่อจัดการประชุมสุดยอดโดยเร็วที่สุดโดยคาดว่าการประชุมอาจเกิดขึ้นภายในปีนี้”   สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่านายคิชิดะได้หารือกับปธน.ไบเดนนอกรอบการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศขององค์การสหประชาชาติ (UN) หรือการประชุมCOP26 ณเมืองกลาสโกว์ประเทศสกอตแลนด์ซึ่งทั้งสองตกลงที่จะยกระดับการเป็นพันธมิตรทวิภาคีและร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่มีเสรีและเปิดกว้างท่ามกลางอิทธิพลที่กำลังเพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาค

โดย : บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จํากัด

คำแนะนำ : ทองรีบาวด์มีลุ้นต่อ สัปดาห์นี้มีข่าวเยอะระวังผันผวน
    
แนวรับ 1808/ 1800 / 1793  แนวต้าน 1825|1830|1835
              Gold/silver           USD                       Baht        DOW (stock)
ระยะสั้น    SW UP              SW DOWN         SW                SW 
ระยะกลาง  SW UP/SW          SW                     SW               SW UP
ระยะยาว BULLISH              Neutral              WEAK          BULLISH
คำแนะนำรายวัน SIDEWAY UP 1800-33
จุดเข้า BUY 1795-1808
เป้าหมาย 1830
SL 1760รายสัปดาห์
คำแนะนำรายเดือน 1750-1835
จุดเข้า BUY 1770-95 เป้าหมาย 1830/ 1850
SL 1760   

บทวิเคราะห์ : ทองรีบาวด์แม้ตัวเลขจ้างงาน NFP สหรัฐฯจะออกมาดีมาก โดยสาเหตุของการขึ้นชุดนี้มากจากการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธ.กลางใหญ่ FED/ ECB / BOE สร้างแรงซื้อทองข้าม $1800 ไปปิดราคาที่ $1818 / ภาพรวมทรงดีมากแต่ยังไม่ชัดว่าจะเป็นขาขึ้น หรือแค่ STRONG REBOUND แล้วลงต่ออีกขา สัปดาห์นี้จะทราบกัน ให้ติดตามประเด็นข่าวสำคัญดังนี้คือการแถลงการณ์ของ ปธ.เฟดคืนวันอังคารพุธ และตัวเลขเงินเฟ้อ USA คืนพฤหัส
กลยุทธ์ : แนะจับตาข่าวคืนวันพุธและพฤหัส ในเวลาใหม่ที่ปรับเวลาเป็นฤดูหนาวช้าลง 1 ชม.  ในทางเทคนิคทองมีต้านสำคัญ $1830-35 ยังแนะถือฝั่ง BUY เพื่อขายช่วงเด้งตัวใกล้แนวต้านสำคัญที่ให้ คาดว่าถ้าราคาทองในสัปดาห์นี้ไม่แรงจริงคือข้าม $1835 ไม่ได้ให้ขายทำกำไรตามรอบ / กรณีทองยืน 1800 ไม่ได้ให้ระวัง

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • จีนกับสหรัฐฯอาจกลับมาเชื่อมสัมพันธ์กันอีกครั้งด้วยการเปิดสถานกงสุลระหว่างกัน หลังจากระงับไปในช่วงที่ทรัมป์ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี
  • การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯกลับมาดีเกินคาด โดยเพิ่มขึ้น 5.31 แสนตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
  • ในขณะที่อัตราการว่างงานก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ มาอยู่ที่ 4.6% ซึ่งเป็นการลดลงมาแล้ว 4 เดือนติดต่อกัน และต่ำลงต่อเนื่องจากระดับสูงสุดที่ 14.7% นับตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิดระบาดเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

Technical

  • ตลาดอ้าง Fed ไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยดันราคาทองพุ่งแรงในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ทำให้การย่อตัวในรอบนี้จะไม่หลุด 1,800
  • RSI ส่งสัญญาณเตือนการปรับฐานระยะสั้นด้วย bearish divergence คาดแนวรับ1,800-1,805
  • ทิศทางวันนี้ขึ้นสั้น ๆ แล้วย่อลงปรับฐาน
  • จับจังหวะเล่นยังไง?วันนี้ไม่ควรไล่ราคา ควรปล่อยให้ราคาย่อลงมาพักตัวก่อนค่อยทยอยเข้าซื้อ และถ้าถือฝั่งขายอยู่ ควรยอมตัดขาดทุน เว้นแต่ราคาจะหลุดลงใต้ 1,800 จึงกลับมาหาจังหวะชอร์ตได้ใหม่

Attention

หลายประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน ดันให้ราคาโภคภัณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องขึ้นสูงต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีในเรื่องการจ้างงานและอัตราว่างงาน แต่ตลาดก็ไม่ค่อยตอบรับกับข่าวดังกล่าว แม้ว่าดอลลาร์เองจะปรับแข็งค่าขึ้น โดยที่ดัชนีดอลลาร์กลับมายืนได้เหนือ 94 จุด และเช้านี้ดัชนีดอลลาร์ยืนได้แถว 94.30 จุดโดยประมาณ ขณะที่ภาพรวมตลาดให้ความสำคัญกับการที่เฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ย และมีภาพรวมของการวิเคราะห์ในเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ย และยังเล็งเห็นเงินเฟ้อสูงมีจริง ด้าน BoE เซอร์ไพร์สตลาดด้วยการไม่ขึ้นดอกเบี้ย ภาพรวมตลาดจึงให้ความสนใจไปยังภาวะเงินเฟ้อที่น่าจะกระทบตลาดมากกว่าภาวะเศรษฐกิจ

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค 

ราคาทองคำกลับมายืนเหนือ 1,800 เหรียญได้อย่างมั่นคง และเช้านี้ทดสอบ 1,820 เหรียญ จึงบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มในทิศทางขาขึ้น และราคามีการยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น, กลาง และยาวได้ทั้งหมด มองกรอบแนวโน้มทิศทางขาขึ้น และมีแนวรับ 1,810 เหรียญ ขณะที่แนวต้าน 1,825 เหรียญ สำหรับ Gold Online Futures และ Gold Comex จะมีแนวรับ 1,815 เหรียญ และแนวต้าน 1,830 เหรียญ ในส่วนของทองคำไทย คาดว่า จะเปิดปรับขึ้น 50 บาท/บาททองคำ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ 

OPEN LONG ระยะสั้นตามการแกว่งของตลาด มี Stop Loss หากต่ำกว่า 1,810 เหรียญ

– นักลงทุนที่ถือ Long Position  
แนะนำหาจังหวะขายปิดทำกำไร และรอเปิดสถานะตามการอ่อนตัว โดยมี Stop Loss เสมอ หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับ

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

แนะนำลดสถานะ และบริหารพอร์ตสมดุล หลังราคายืนเหนือ 1,800 เหรียญได้อย่างแข็งแกร่ง

Gold Futures 10Z21 จะมีแนวรับที่ระดับ 28,550 บาท และแนวต้านที่ระดับ 28,850  บาท

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,809-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,803 1,785 1,770  แนวต้าน : 1,833 1,845 1,854

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดทะยานขึ้น 25.73ดอลลาร์ต่อออนซ์แม้ราคาทองคำจะร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,784.97 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเวลาต่อมา  โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ  ได้แก่  (1.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ10ปีปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.ที่ 1.436% และถือเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.  ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย(2.) ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงจากระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. บริเวณ94.634โดยดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยเผชิญกับแรงเทขาย  หลังจากดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐ และข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ (3.) แรงซื้อตามทางเทคนิคหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นทะลุผ่านระดับสูงสุดของ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าบริเวณ 1,813-1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์  สถานการณ์ดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้นกว่า30 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับต่ำสุดในระหว่างวันสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือนบริเวณ 1,818.16 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล  ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำไม่สามารถ break out ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,831-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ขึ้นไปได้ (สูงสุดของเดือน ก.ค.,ส.ค.,ก.ย.)อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นให้กลับลงมาตั้งฐานราคาด้านล่างอีกครั้ง เบื้องต้นประเมินว่าแนวรับโซน 1,809-1,803 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้ จึงจะมีแรงดีดกลับไปทดสอบแนวต้านด้านบนอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นการลงทุนระยะสั้นโดยซื้อหากราคาอ่อนตัวลงมาในโซน 1,809-1,803ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมลดการลงทุนหากราคาหลุด 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสำหรับนักลงทุนที่ถือสถานะซื้ออยู่ แนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,831-1,833ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) ดอลลาร์อ่อนค่า หลังตลาดขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่งดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.03% แตะที่ 94.3267 เมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.40 เยน จากระดับ 113.73 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9126 ฟรังก์ จากระดับ 0.9127 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2457 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2460 ดอลลาร์แคนาดายูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1549 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1553 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าแตะที่ระดับ 1.3480 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3493 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าสู่ระดับ 0.7393 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7399 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (+) จีนสั่งคว่ำบาตรนายกฯไต้หวัน ชี้ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง-แบ่งแยกประเทศ รัฐบาลจีนประกาศคว่ำบาตรนายกรัฐมนตรีของไต้หวันและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 2 คน โดยกล่าวหาบุคคลเหล่านั้นทำให้เกิดความเกลียดชังในช่องแคบไต้หวัน  สำนักข่าวเอ็นเอชเคของญี่ปุ่นรายงานว่า นางซู เฟิงเหลียน โฆษกสำนักกิจการไต้หวันของจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (5 พ.ย.) ว่า จีนจะคว่ำบาตรบุคคลในรายชื่อซึ่งจีนเรียกว่าเป็นผู้ดื้อรั้นที่แยกตัวออกจากจีน 
  • (-) “ไฟเซอร์” เปิดตัวยารักษาโควิดได้ผลเกือบ 90% สูงกว่า “โมลนูพิราเวียร์”บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ แถลงในวันนี้ว่า ผลการทดลองในระยะที่ 3 สำหรับยาเม็ดชนิดรับประทานเพื่อรักษาโรคโควิด-19 พบว่า ยาดังกล่าวสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50%  ไฟเซอร์เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ยุติการทดลองแล้ว ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม หลังพบว่ายาดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และบริษัทจะส่งผลการทดลองดังกล่าวให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) หลังจากที่ไฟเซอร์ได้ยื่นเรื่องขออนุมัติการใช้ยาดังกล่าวเป็นกรณีฉุกเฉินต่อ FDA เมื่อเดือนต.ค.ทั้งนี้ ไฟเซอร์ตั้งชื่อยารักษาโรคโควิด-19 ของทางบริษัทว่า Paxlovidโดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 3 เม็ด
  • (-) “ไฟเซอร์” คาดสหรัฐปิดเกมโควิด-19 ต้นปีหน้านายแพทย์สก็อตต์ ก็อตลิบ ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และอดีตประธานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐจะสิ้นสุดลงในเดือนม.ค.2565 ซึ่งมาตรการบังคับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในบริษัทเอกชนทั่วสหรัฐจะมีผลบังคับใช้
  • (-) สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งเกินคาดในเดือนต.ค.  กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง จากระดับ 312,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.  ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 312,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 194,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนส.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 483,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 366,000 ตำแหน่ง
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 203.72 จุด ขานรับข้อมูลจ้างงานแกร่งดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งในสหรัฐ และข้อมูลเชิงบวกจากการทดลองยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,327.95 จุด เพิ่มขึ้น 203.72 จุด หรือ +0.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,697.53 จุด เพิ่มขึ้น 17.47 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,971.59 จุด เพิ่มขึ้น 31.28 จุด หรือ +0.20%
  • (+/-) สภาผู้แทนฯสหรัฐไฟเขียวกม.ใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งต่อไบเดนลงนามสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework – BIF) มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้วในวันศุกร์ (5 พ.ย.) ตามเวลาสหรัฐ และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อลงนามบังคับใช้ต่อไป  สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า สภาผู้แทนฯ สหรัฐลงมติอนุมัติกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 228 ต่อ 206 เสียง โดยสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คนลงมติสนับสนุนกฎหมายดังกล่าว ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครต 6 คนลงมติคัดค้าน  ทั้งนี้ คาดว่าปธน.ไบเดนจะลงนามบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้  ส่วนวุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา

โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด

ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 531,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราว่างงานปรับตัวลดลงเหลือ 4.6% แต่ Bond yield ทั้งอายุ 10 ปีและ 2 ปี ล้วนแล้วแต่ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์ที่ส่งสัญญาณอ่อนค่า จนส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นกว่า $26 สู่ระดับ $1817 ระดับดังกล่าวมองว่าสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA200 วันที่ $1800 ได้และเป็นสัญญาณในเชิงบวก ในเบื้องต้นหากราคาตอนลงมาทดสอบ $1800 และไม่หลุดลงมานั้นมองกลับไประดับ $1830

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย. 

มุมมองทองคำภาคเช้า  ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันศุกร์ และปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.ย. โดยได้แรงหนุน จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง จากระดับ 312,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.  ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย. 

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 1.458% ในวันศุกร์ จากระดับ 1.524% ในวันพฤหัสบดี ซึ่งการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย  นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อได้ช่วยหนุนสัญญาทองคำด้วย

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในรอบสีปดาห์ ได้แก่  ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก  ดัชนีราคาผู้ผลิต  ดัชนีราคาผู้บริโภคจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  สินค้าคงคลังภาคค้าส่ง  ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม  ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน  ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTs  เป็นต้น

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) หลังจากที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนต.ค.ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ 

ดอลาร์อ่อนค่าลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 450,000 ตำแหน่ง จากระดับ 312,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.  ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ย.  ดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นทะยานขึ้น 

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,801-  1,795- 1,789

แนวต้าน  1,826–1,832– 1,840

ราคาทองคำดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลงจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ นักลงทุนยังขานรับผลการประชุมเฟดครั้งล่าสุดซึ่งระบุว่า เฟดจะทยอยปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้  เก็งกำไรขาขึ้น

ที่มา : gold.in.th ( 8 พ.ย. 64 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.