ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 15 พ.ย.64 by YLG, HGF, MTS, GCAP

729

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เก็งกำไรระยะสั้นตามกรอบราคาในทิศทางค่อยๆปรับตัวขึ้น เปิดสถานะซื้อหากราคาสามารถยืนเหนือ 1,849-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ให้ทยอยขายทำกำไรหากราคายังไม่ยืนเหนือโซน 1,868-1,876 ดอลลาร์ต่อออนซ์หากผ่านได้ถือสถานะซื้อต่อ

แนวรับ : 1,849 1,833 1,823  แนวต้าน : 1,876 1,889 1,900

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.54ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ในระหว่างวันราคาทองคำจะได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร  และดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ16 เดือนที่ 95.266  ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ  1,844.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นจากแรงซื้อ Buy the dip และแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ  ประกอบกับดัชนีดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ที่ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจพุ่งขึ้น 164,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 4.43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2011 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 72.5  เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทำให้มาตรฐานการครองชีพของครัวเรือนลดลง ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวัน  จนกระทั่งปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาบริเวณ 1,865.79 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ซึ่งถือเป็นการปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันทำการที่ 7 ติดต่อกันพร้อมกับปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการทะยานขึ้น +2.64% ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบ 6 เดือนด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index)ของสหรัฐ

- Advertisement -

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำปรับตัวลงมาพอเข้าใกล้โซนแนวรับ 1,849-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจมีแรงดีดกลับ เบื้องต้นราคามีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในทิศทางค่อยๆปรับตัวขึ้น อาจต้องระวังแรงขายหากราคายังไม่ยืนเหนือโซน 1,868-1,876 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ หากยังไม่มีปัจจัยใหม่มาดันราคาขึ้น แต่หากผ่านได้ประเมินแนวต้านที่ 1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว โดยเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาในบริเวณแนวรับ 1,849-1,833ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์) ขณะที่การขายทำกำไรอาจพิจารณาในโซน 1,868-1,876ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านได้ชะลอการปิดสถานะซื้อไปที่แนวต้านถัดไป

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานลดลง ขณะตัวเลขลาออกจากงานพุ่งเป็นประวัติการณ์สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. 
  • (+) ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่ำสุด 10 ปีในเดือนพ.ย.ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.   นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 72.5  ดัชนีได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี
  • (+) สหรัฐปฎิเสธข้อเสนอ “อินเทล” วางแผนเพิ่มการผลิตชิปในจีนแหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ปฏิเสธแผนการของบริษัทอินเทลที่จะเพิ่มการผลิตชิปในประเทศจีน เนื่องจากมีความวิตกเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง ซึ่งก็ได้ทำให้การเสนอแนวคิดในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนชิปของสหรัฐประสบกับความล้มเหลวทั้งนี้ อินเทลซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้เสนอที่จะใช้โรงงานที่เมืองเฉิงตูในประเทศจีนเพื่อผลิตซิลิคอนเวเฟอร์ โดยการผลิตดังกล่าวอาจเริ่มขึ้นภายในสิ้นปี 2565 ซึ่งจะช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับอุปทานชิปที่ตึงตัวทั่วโลก ขณะเดียวกัน อินเทลก็ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อเพิ่มการวิจัยและการผลิตในสหรัฐด้วยอย่างไรก็ตาม เมื่ออินเทลเสนอแผนดังกล่าวในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะบริหารของปธน.ไบเดนได้คัดค้านอย่างมากกับแผนการดังกล่าว
  • (+) จีนวอนธุรกิจสหรัฐช่วยล็อบบี้-คัดค้านร่างกฎหมายในสภาคองเกรสแหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ส่งจดหมายเรียกร้องให้ผู้บริหาร, บริษัท และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ  ของสหรัฐ ดำเนินการเพื่อคัดค้านการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับจีนในสภาคองเกรสสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าของสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันได้กดดันบรรดาผู้บริหารบริษัทสหรัฐให้เรียกร้องสมาชิกสภาคองเกรสทำการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกร่างกฎหมายใด ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางการค้าของสหรัฐ โดยเจ้าหน้าที่จีนได้เตือนบริษัทต่าง ๆ ว่า พวกเขาเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดหรือรายได้ในจีน หากมีการบังคับใช้ร่างกฎหมายเหล่านั้น
  • (+) ดอลลาร์อ่อนค่า ผิดหวังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (12 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.06% แตะที่ 95.1237 เมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.95 เยน จากระดับ 114.09 เยน, อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9208 ฟรังก์ จากระดับ 0.9219 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2551 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2579 ดอลลาร์แคนาดายูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1443 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1446 ดอลลาร์, ปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3417 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3365 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าสู่ระดับ 0.7331 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7293 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 179.08 จุด แรงซื้อหุ้นเทคโนโลยีหนุนตลาดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (12 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และนักลงทุนขานรับแผนปรับโครงสร้างของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) แม้ผิดหวังกับการเปิดข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐก็ตาม  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,100.31 จุด เพิ่มขึ้น 179.08 จุด หรือ +0.50%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,682.85 จุด เพิ่มขึ้น 33.58 จุด หรือ +0.72%  และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,860.96 จุด เพิ่มขึ้น 156.68 จุด หรือ +1.00%
  • (+/-) ทำเนียบขาวยืนยัน “ไบเดน-สี จิ้นผิง” จัดประชุมทางไกลวันจันทร์หน้าทำเนียบขาวแถลงในวันนี้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะจัดการประชุมทางไกลกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันจันทร์ที่ 15 พ.ย.ในเวลากลางคืนตามเวลาสหรัฐ   “ผู้นำทั้งสองจะหารือกันเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบต่อการแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย และท่านประธานาธิบดีไบเดนจะแสดงออกอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความกังวลของเราในเรื่องต่างๆที่มีต่อจีน” นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวกล่าว  นอกจากนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ปธน.สี จิ้นผิงจะเชิญปธน.ไบเดนเดินทางเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งในเดือนก.พ.2565

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

สัปดาห์ก่อนทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ เดือน

สัปดาห์นี้ติดตามการแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่าน

ทองคำคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,870 ดอลลาร์

  • สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำ Spot ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือนแตะ 1,868 ดอลลาร์ทองคำได้รับปัจจัยหนุนจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ป้องกันอัตราเงินเฟ้อได้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบรายปี และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 2553ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ซื้อทองคำ 0.58 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • สัปดาห์นี้ติดตามการแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดหลายท่านเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ได้แก่ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้าประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกประธานเฟดสาขาชิคาโก้ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอื่นๆที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. การอนุญาตก่อสร้างและการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. ดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนพ.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนต.ค.
  • แนวโน้มราคาทองคำทางด้านเทคนิคเป็นขาขึ้น  สำหรับราคาทองคำในช่วงนี้คาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,870 ดอลลาร์ทั้งนี้ทองคำมีแนวรับอยู่ที่1,850 ดอลลาร์และ 1,840 ดอลลาร์ขณะที่มีแนวต้านสำคัญ1,870 ดอลลาร์ถ้าผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไป1,880 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,864.74+3.541,850/1,8401,870/1,880

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,900+10028,650/28,55028,950/29,050

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
29,080+16028,820/28,68029,100/29,240

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อไว้แนะนำถือต่อไป (Let Profit Run)การเข้าซื้อเก็งกำไรแนะนำเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,850ดอลลาร์ (GF 28,820 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,840ดอลลาร์ (GF28,680 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,865.80+11.001,852/1,8421,872/1,882

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อไว้แนะนำถือต่อไป (Let Profit Run)การเข้าซื้อเก็งกำไรแนะนำเมื่อราคาGOZ21ปรับลงมาที่ 1,852 ดอลลาร์โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,842ดอลลาร์

ค่าเงิน

ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดจะแข็งค่าขึ้น โดยเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือนพ.ย.ของมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงสู่ระดับ 66.8 สวนทางกับที่ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 72.5 โดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 32.70 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน32.90 บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลลาร์อ่อนค่าผิดหวังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.06% แตะที่ 95.1237 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดบวก 4.6 ดอลล์วิตกเงินเฟ้อ-ข้อมูลศก.ซบเซาหนุนแรงซื้อ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) เป็นวันที่ 7 ติดต่อกันและปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.6 ดอลลาร์หรือ 0.25% ปิดที่ระดับ 1,868.5 ดอลลาร์/ออนซ์และสัญญาทองคำปรับตัวขึ้นราว 2.8% ในสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.5 เซนต์หรือ 0.18% ปิดที่ 25.346 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดลบ 80 เซนต์วิตกดอลล์แข็ง-สหรัฐจ่อระบายสต็อก

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและความเป็นไปได้ที่สหรัฐอาจจะระบายน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 80 เซนต์หรือ 1% ปิดที่ 80.79 ดอลลาร์/บาร์เรลและลดลง 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 70 เซนต์หรือ 0.8% ปิดที่ 82.17 ดอลลาร์/บาร์เรลและลดลง 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นต่างประเทศ :ดาวโจนส์ปิดบวก 179.08 จุดแรงซื้อหุ้นเทคโนโลยีหนุนตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนักลงทุนขานรับแผนปรับโครงสร้างของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (J&J) แม้ผิดหวังกับการเปิดข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐก็ตามดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,100.31 จุดเพิ่มขึ้น 179.08 จุดหรือ +0.50%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,682.85 จุดเพิ่มขึ้น 33.58 จุดหรือ +0.72%  และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,860.96 จุดเพิ่มขึ้น 156.68 จุดหรือ +1.00%

วัคซีนโควิดของโมเดอร์นาเสี่ยงทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากกว่าไฟเซอร์

บริษัทโมเดอร์นาได้ออกมาปกป้องประสิทธิภาพวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ของบริษัทโดยระบุว่าประโยชน์ของวัคซีนซึ่งสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรง, การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)อย่างไรก็ดีดร.พอลเบอร์ตันประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการแพทย์ของโมเดอร์นายอมรับว่าผู้ชายอายุต่ำกว่า30ปีที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ของโมเดอร์นานั้นมีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคดร.เบอร์ตันได้อ้างถึงข้อมูลจากฝรั่งเศสที่เกี่ยวกับชายวัย12-29ปีโดยข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าพบผู้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ13.3รายจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาทั้งหมด100,000รายเมื่อเทียบกับอัตราส่วน2.7ต่อ100,000รายในผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดของไฟเซอร์

“ไบเดน-สีจิ้นผิง” เตรียมกล่าวสุนทรพจน์ประชุมผู้นำเอเปคมุ่งประเด็นการค้า-ฟื้นฟูศก.

ประธานาธิบดีโจไบเดนแห่งสหรัฐและประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเตรียมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าและการเมืองระหว่างประเทศสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าจีนเป็นตัวกำหนดทิศทางการประชุมเอเปคที่ประกอบด้วย21ชาติสมาชิกในสัปดาห์นี้โดยปธน.สีได้กล่าวผ่านทางวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกไม่ควรกลับสู่การเผชิญหน้าและการแตกแยกกันแบบในยุคสงครามเย็นพร้อมกับกล่าวว่าความพยายามขีดเส้นแบ่งทางอุดมการณ์มีแนวโน้มประสบกับความล้มเหลวด้านทำเนียบขาวของสหรัฐกล่าวว่าในระหว่างการประชุมที่จะจัดขึ้นโดยนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพนั้นปธน.ไบเดนคาดว่าจะหารือเกี่ยวกับความพยายามในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19และส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า “การเข้าร่วมการประชุมของปธน.ไบเดนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐที่มีต่อภูมิภาคอินโดแปซิฟิกและความร่วมมือพหุภาคี”

อิสราเอลจัดซ้อมใหญ่เตรียมรับมือโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดขึ้น

อิสราเอลได้เริ่มดำเนินการฝึกซ้อมระดับชาติในวันพฤหัสบดี (11พ.ย.) เพื่อทดสอบความพร้อมของประเทศในการรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์ใหม่ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตมากขึ้นสำนักข่าวซินหัวระบุว่าการฝึกซ้อมรับมือไวรัสโควิด-19หรือOmega drill ซึ่งนำโดยนายนัฟทาลีเบนเนตต์นายกรัฐมนตรีอิสราเอลนั้นประกอบด้วย3ช่วงซึ่งจำลองช่วงเวลาหลังเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์ใหม่สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุว่าการฝึกซ้อมครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบความสามารถของหน่วยงานภาครัฐระบบบริการด้านสุขภาพและภาวะฉุกเฉินของประเทศเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโวรัสโควิดสายพันธุ์ “โอเมกา”  อย่างไรก็ดียังไม่มีการพบไวรัสโควิด-19สายพันธุ์ดังกล่าวในอิสราเอลการฝึกซ้อมจะจัดขึ้นที่ศูนย์การจัดการแห่งชาติในกรุงเยรูซาเลมซึ่งเป็นศูนย์จัดการกับวิกฤตการณ์ระดับชาติโดยมีผู้เข้าร่วมได้แก่อธิบดีกระทรวงของรัฐ, ตัวแทนจากหน่วยงานด้านสุขภาพและเหตุฉุกเฉิน, ผู้ดูแลโครงการด้านโควิด-19ระดับชาติ, ผู้อำนวยการฝ่ายบริการสาธารณสุข, ประธานรัฐสภา, คณะกรรมการกฎหมายและยุติธรรม, คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและกองทัพอิสราเอล    “อิสราเอลจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม” นายเบนเนตต์กล่าวในระหว่างการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ที่ศูนย์การจัดการแห่งชาติ

ดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)


ทิศทางราคาทองคำทองคำ

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ที่แล้ว และขณะนี้มาทำสูงสุดรอบ 10 เดือนบริเวณ 1,868 เหรียญอีกครั้ง แต่ยังมีแรงเทขายทำกำไรเป็นช่วงๆ โดยที่ภาพรวมตลาดทองคำให้ความสนใจเรื่องภาวะเงินเฟ้อ  ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ มองเงินเฟ้อเป็นเพียงชั่วคราว และน่าจะกลับสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปีหน้า ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ JOLTS Job Openings ที่ออกมาแย่กว่าคาดที่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ Prelim UoM Consumer Confidence ออกมาแย่กว่าคาดที่ระดับ 66.8 ในส่วนของคืนนี้จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ Empire State Manufacturing Index ที่คาดว่าจะออกมาแย่ลง ทางด้านดัชนีดอลลาร์ในวันศุกร์ดีดตัวสูงขึ้นมาทำสูงสุดถึง 95.26 จุด เรียกได้ว่าดัชนีดอลลาร์มีการแกว่งตัวค่อนข้างมาก ในส่วนของค่าเงินบาทก็มีการปรับแข็งค่าลงมาเช้านี้หลุดระดับ 32.80 บาท/ดอลลาร์ มาแถว 32.70 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องหลังจากที่พยายามทรงตัวบริเวณ 32.80 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทอาจเป็นตัวกดดันให้ราคาทองคำของไทยปรับตัวสูงขึ้นมาได้ไม่มากนัก ดังนั้น ภาพรวมของการลงทุนในทองคำเอง จึงแนะนำให้ลงทุนในหน่วยของ USD มากกว่า

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองคำในทางเทคนิคยังเป็นแนวโน้มทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง และยืนได้เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมด ซึ่งมีบางช่วงจะเห็นได้ถึงการเข้าสู่สภาวะที่เทขายเพื่อทำกำไร วันนี้คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนตัวในกรอบแนวรับ 1,850 เหรียญ และแนวต้าน 1,875 เหรียญ ในส่วนของ Gold Online Futures และ Comex จะมีแนวรับ 1,853 เหรียญ และแนวต้าน 1,878 เหรียญ ทางด้านราคาทองคำไทยคาดจะปรับตัวลดลงประมาณ 100 บาท/บาททองคำ

กลยุทธ์การลงทุนในทองคำวันนี้

แนะนำให้ลงทุนในกรอบขาขึ้นเป็นลักษณะ Buy on dips, Sell on rallies และมี Stop Loss หากต่ำกว่าระดับแนวรับ

นักลงทุนที่ถือสถานะ Long

แนะนำให้ทำการลงซื้อขึ้นขาย ทำกำไรระยะสั้นในกรอบ มี Stop Loss เสมอหากต่ำกว่า 1,850 เหรียญ

นักลงทุนที่ถือสถานะ Short

แนะนำให้บริหารพอร์ตการลงทุนสมดุล ไม่แนะนำให้ถือครองสถานะเวลานี้

Gold Futures Z21 มีแนวรับ 28,950  บาท  แนวต้าน 29,300 บาท

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า                  

ดอลลาร์ปรับตัวลง โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. 

ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

มุมมองทองคำภาคเช้า  ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (12 พ.ย.) เป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ได้แก่  ดัชนีการผลิตสาขานิวยอร์ก  ยอดค้าปลีก  ดัชนีสินค้านำเข้า  ดัชนีสินค้าส่งออกผลผลิตภาคอุตสาหกรรม  อัตราการใช้กำลังการผลิต  สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ  ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย  เริ่มต้นสร้างบ้าน  ในอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ดัชนีการผลิต เฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย  ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น  

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์ปรับตัวลง โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. 

ตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจพุ่งขึ้น 164,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 4.43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราการลาออกจากงานโดยสมัครใจอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน 

ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,850-  1,844- 1,838

แนวต้าน  1,872–1,877– 1,885

ราคาทองคำดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ  นอกจากนี้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าหนุนแรงซื้อในฝั่งทองคำ เนื่องจากราคาได้ปรับตัวขึ้นมาสูงได้ระดับบบบหนึ่งแล้ว  ระหว่างวันอาจเกิดการย่อพักตัว นักลงทุนยังเข้าซื้อเก็งกำไรได้

ที่มา : gold.in.th ( 15 พ.ย.64 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.