ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 9 ธ.ค.64 by GT, SCT, HGF, GCAP, MTS, YLG, TDC

578

- Advertisement -

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • ไฟเซอร์เผย ฉีดครบ 3 เข็มป้องกันโอไมครอนได้ชงัด
  • เจพีมอร์แกนคาดปีหน้าจะหมดโควิด และเศรษฐกิจโลกจะโตได้เต็มที่
  • IMF เตรียมลดคาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้าของยูโรโซน เพราะโควิดระบาดหนักและนานกว่าที่ประเมินไว้
  • แบงก์ชาติจีนเติมเงิน 1 หมื่นล้านหยวน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่าน reverse repo อายุ 7 วัน เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่ระบบธนาคารและเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการล้มของเอเวอร์แกรนด์

Technical

  • ราคาปรับขึ้นแค่เล็กน้อย แล้วทิ้งตัวลงด้วยแท่งยาว ลดโอกาสไปเกิน1,800 แต่การขึ้นทดสอบเส้น MA ใต้แนว1,800ยังมีความเป็นไปได้ ซึ่งยังคงคาดว่าจะเป็นการขึ้นแค่สั้น ๆ เพื่อลงมาอยู่ดี
  • ตอนขึ้นแกว่งแบบไม่อยากขึ้น พอตอนลงทิ้งโครมเดียวลงมา แม้ว่าภาพรวมยังดูเป็น sideway up แต่เห็นได้ชัดว่าฝั่งขายแรงเยอะกว่าพอสมควร
  • ทิศทางวันนี้ขึ้นได้น้อย ลงได้มาก
  • จับจังหวะเล่นยังไง?ฝั่งขายให้รอชอร์ตเมื่อขึ้นเกิน1,790 ส่วนฝั่งซื้อยังไม่น่าเข้า และที่มีควรขายทำกำไร

Attention

- Advertisement -

  • รัฐบาลสหรัฐฯจะมีเงินใช้จ่ายไปถึง 18 ก.พ. ปีหน้า
  • ดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเร็วกว่าคาดเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการอัดฉีดสภาพคล่องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนว่ารอบนี้นักลงทุนจะเลือกทองคำหรือเงินคริปโตเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่ากัน

โดย : บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จํากัด

คำแนะนำ   :  บาทแข็งฉุดทองไทยลง แต่ทองโลกยังแกว่งเชิงบวกวันนี้น่าจะ SIDEWAYS ต่อ
  
แนวรับ 1775/ 1760 / 1750  แนวต้าน 1795|1805|1820
              Gold/silver           USD                       Baht        DOW (stock)
ระยะสั้น    SW                          Sw                          SW                SW 

ระยะกลาง  SW UP                SW DOWN               SW               SW UP
ระยะยาว BULLISH              Neutral              WEAK          BULLISH
คำแนะนำรายวัน SIDEWAYS 1775-1805
จุดเข้า SELL 1795-1805
เป้าหมาย 1750-60
SL 1809

รายสัปดาห์
คำแนะนำรายเดือน 1750-1900
จุดเข้า BUY 1760-90 เป้าหมาย 1870-1900
SL 1750   

บทวิเคราะห์ : บาทแข็งเร็วฉุดราคาทองไทยร่วง ส่วนราคาทองโลกย่อเล็กน้อยแต่ยังเคลื่อนไหวแดนบวกพยายามจะรีบาวด์ โดยทองย่อเมื่อคืนเพราะตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯออกมาดี และคาดกันว่าเฟดยังเร่งลด QE ในสัปดาห์หน้าชัวร์ คาดว่าราคาทองจะพยายามฟื้นตัวหรือรีบาวด์สั้นๆ หากยืน $1800 ไม่ได้ ทองยังมีสิทธิย่อลงอีกครั้ง คืนนี้ตัวเลขไม่มากคาดราคาแกว่ง SIDEWAYS รอคืนพรุ่งนี้จะมีตัวเลขเงินเฟ้อ กลยุทธ์แนะเทรด DAY TRADE ฉวยเก็งกำไรช่วงบาทแข็งทองแกว่ง ส่วนนักลงทุนระยะกลางเน้นถือและรอย่อซื้อเพิ่มในสัปดาห์หน้า / ค่าเงินบาทเข้าโหมดแข็งค่าเพราะโควิด โอไมครอน ไม่น่ากลัวอย่างที่คาดกัน บาทไทยมีแนวรับสำคัญที่ 33.33

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ทองคำปรับขึ้นจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์แนวโน้มราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1,770-1,800ดอลลาร์

  • ราคาทองคำ Spot เมื่อวานเคลื่อนไหวทรงตัวบริเวณต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามราคาทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนขายสกุลเงินดอลลาร์ ภายหลังคลายความกังวลสายพันธุ์โอมิครอน ในขณะที่บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคเผยว่าวัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ถือครองทองคำเท่าเดิม
  • คืนนี้สหรัฐจะประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายส่วนคืนพรุ่งนี้สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย. ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบรายปี และเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่เดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบรายเดือนทั้งนี้ถ้าตัวเลขออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ อาจทำให้ตลาดกังวลว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,770-1,800ดอลลาร์ โดยมีแนวต้าน 1,792 ดอลลาร์ และ 1,800 ดอลลาร์ขณะที่มีแนวรับที่ 1,770 ดอลลาร์ และ 1,760 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,782.70-1.11,770/1,7601,792/1,800

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,400-5028,050/27,90028,350/28,450

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,410-7028,200/28,04028,400/28,620

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับขึ้นมาที่ 1,770 ดอลลาร์ (GF 28,200บาท)โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,760ดอลลาร์ (GF28,040บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,785.60-4.201,771/1,7611,793/1,801

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาGOZ21ปรับขึ้นมาที่ 1,771 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,761ดอลลาร์

ค่าเงิน

ทิศทางค่าเงินบาทเมื่อวานนี้แข็งค่าต่อเนื่องตามภูมิภาค หลังจากคลายความกังวลเกี่ยวกับโอมิครอนในขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้นคาดว่าแข็งค่าได้ต่อโดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 33.30บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน33.50บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลล์อ่อนนลท.ขายสกุลเงินปลอดภัยหลังคลายกังวลโอมิครอน

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยหลังจากกความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มบรรเทาลงขณเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้ารวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ด้วยทั้งนี้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.51% แตะที่ 95.8905 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ดอลล์อ่อนหนุนทองปิดบวก 80 เซนต์จับตาเงินเฟ้อสหรัฐ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้รวมทั้งการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้าทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 80 เซนต์หรือ 0.04% ปิดที่ 1,785.50 ดอลลาร์/ออนซ์สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 9.1 เซนต์หรือ 0.4% ปิดที่ 22.432 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดบวก 31 เซนต์ข่าววัคซีนไฟเซอร์หนุนแรงซื้อ

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) โดยสัญญาน้ำมันดิบยังคงปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนหลังมีรายงานว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 31 เซนต์หรือ 0.4% ปิดที่ 72.36 ดอลลาร์/บาร์เรลซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 2564    ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์หรือ 0.5% ปิดที่ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรลซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2564

ตลาดหุ้นต่างประเทศ :ดาวโจนส์ปิดบวก 35.32 จุดรับข่าววัคซีนไฟเซอร์ต้านโอมิครอน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนโดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,754.75 จุดเพิ่มขึ้น 35.32 จุดหรือ +0.10%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,701.21 จุดเพิ่มขึ้น 14.46 จุดหรือ +0.31% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 15,786.99 จุดเพิ่มขึ้น 100.07 จุดหรือ +0.64%

“บิลเกตส์” ชี้การระบาดรุนแรงของโควิดจะจบลงในปีหน้าแม้เจอโอมิครอน

นายบิลเกตส์มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในปี2564ว่าจะไม่คลี่คลายอย่างที่เขาคาดหวังไว้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่านายเกตส์ได้โพสต์บนเว็บบล็อกของเขาเมื่อวานนี้ (7ธ.ค.) ระบุว่าเนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19ในปีนี้มากกว่าในปี2563รวมถึงการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาและอุปสรรคต่างๆในการระดมฉีดวัคซีนทำให้ความคืบหน้าไม่เป็นไปตามที่คาดไว้   “ผมประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปในแง่ที่ว่าเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวให้คนหันมาฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัยกันต่อไป”   อย่างไรก็ดีผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกในปี2565โดยระบุว่าการระบาดที่ลุกลามรุนแรงจะสิ้นสุดลงณช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในปีหน้าโดยการคาดการณ์ของนายเกตส์นั้นมีขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกกำลังรับมือกับโอมิครอนซึ่งเป็นไวรัสโควิด-19สายพันธุ์ใหม่ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐใกล้แตะ50ล้านรายนายเกตส์ระบุว่า “เชื้อไวรัสโอมิครอนน่ากังวลแต่สิ่งที่เรารู้ตอนนี้ก็คือโลกเตรียมพร้อมรับมือสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงได้ดีขึ้นกว่าการระบาดในช่วงอื่นๆที่ผ่านมา”   เขายังคาดการณ์ว่าแม้การติดเชื้อโควิด-19จะมีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ถึง10เท่าก็ตามแต่วัคซีนและยาต้านไวรัสอาจลดการเสียชีวิตลงได้50%นายเกตส์ระบุเพิ่มเติมว่า “ชุมชนต่างๆจะยังพบการระบาดอยู่บ้างแต่ยาตัวใหม่ที่จะออกมาจะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้และโรงพยาบาลก็จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้”     นอกจากนี้นายเกตส์ยังพูดถึงเรื่องการบิดเบือนข้อมูลซึ่งส่งผลให้ผู้คนไม่อยากฉีดวัคซีนโดยเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลในการทำภารกิจใหญ่ให้ลุล่วงพร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียด้วย

ผลวิจัยชี้วัคซีน “ไฟเซอร์” ป้องกันโอมิครอนได้บางส่วนภูมิลดราว 40 เท่า

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างคำกล่าวของนายอเล็กซ์ซิกาลหัวหน้าฝ่ายวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งสถาบันวิจัยสุขภาพแอฟริกาในเมืองเดอร์บันประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งระบุว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสามารถหลบภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคได้บางส่วนนักวิจัยจากสถาบันดังกล่าวพบว่าโอมิครอนส่งผลให้ระดับแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ของผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทคจำนวน 2 โดสลดลงประมาณ 40 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่ตรวจพบในประเทศจีนเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วอย่างไรก็ดีนายซิกาลกล่าวในการนำเสนอรายงานผลการทดลองครั้งแรกทางออนไลน์ที่วัดประสิทธิภาพของวัคซีนกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ว่าการสูญเสียภูมิคุ้มกันนั้น “มากแต่ไม่ทั้งหมด”    นายซิกาลกล่าวว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนจะมีการพัฒนามากขึ้น “วัคซีนเข็มบูสเตอร์ที่ดีอาจลดโอกาสการติดเชื้อของคุณโดยเฉพาะการติดเชื้อรุนแรงที่ทำให้เกิดโรคที่รุนแรงมากขึ้นผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดเข็มบูสเตอร์ก็ควรไปฉีดส่วนผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ก็ควรไปฉีดวัคซีนเช่นกัน”

สื่อเผย “ไบเดนVS ปูติน” เสร็จสิ้นการประชุมทางไกลแล้ว

สำนักข่าวTASS รายงานว่าการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ระหว่างประธานาธิบดีโจไบเดนผู้นำสหรัฐและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินผู้นำรัสเซียได้เสร็จสิ้นลงแล้วผู้นำทั้งสองได้หารือกันเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงหลังจากการประชุมเริ่มต้นขึ้นในเวลา 22.08 น.ตามเวลาไทยสำนักข่าวTASS รายงานว่าในช่วงเริ่มต้นของการประชุมผู้นำทั้งสองได้ทักทายกันขณะที่ปธน.ไบเดนแสดงความหวังว่าจะสามารถจัดการประชุมสุดยอดกับปธน.ปูตินแบบพบหน้ากันหลังจากที่ทั้งสองได้จัดการประชุมสุดยอดก่อนหน้านี้ที่นครเจนีวาในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาสื่อรายงานว่าหลังจากที่ปธน.ไบเดนและปธน.ปูตินได้ทักทายซึ่งกันและกันแล้วทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มการเจรจาเป็นการภายในโดยไม่ได้มีการแถลงข่าวเปิดเผยผลการประชุมต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากกความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มบรรเทาลง ขณเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ด้วย

มุมมองทองคำภาคเช้า ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ รวมทั้งการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากบริษัท Wolfpack Capital กล่าวว่า สัญญาทองคำปรับตัวในกรอบแคบตลอดทั้งวัน เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ทำให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นการลงทุนในตลาดหุ้น

นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ 3 แห่งของโลกในสัปดาห์หน้า โดยเฟดจะจัดการประชุมในวันที่ 14-15 ธ.ค. ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะจัดการประชุมพร้อมกันในวันที่ 16 ธ.ค. 

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากกความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มบรรเทาลง ขณเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ด้วย

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,772-  1,767- 1,762

แนวต้าน  1,797–1,803– 1,8008

ราคาทองคำยังดีดตัวขึ้นได้ในวงจำกัด การเคลื่อนไหวยังไร้ทิศทางขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคปลายสัปดาห์ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย  แนะลงทุนในกรอบ

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำเคลื่อนตัวกรอบแคบระหว่าง 1,781 – 1,787 เหรียญ และปิดปรับตัวลงมาแถว 1,784 เหรียญโดยประมาณ ด้านเงินบาทเปิดตลาด 33.56 บาท/ดอลลาร์  ก่อนจะปิดที่ 33.52 บาท/ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ สำหรับภาพรวมของราคาทองคำยังเคลื่อนตัว Sideways แต่เป็นลักษณะของทิศทางแนวโน้มขาลง โดยมีกรอบใหญ่บริเวณแนวรับ 1,760 เหรียญ และแนวต้าน 1,795 เหรียญ สำหรับวันนี้คาดว่าทองคำน่าจะรอดูตัวเลข Unemployment Claims ที่คาดว่าจะออกมาดีขึ้น ขณะเดียวกันก็รอข้อมูล CPI สหรัฐฯในคืนวันศุกร์ คาดว่าจะมีอัตรารายเดือนขยายตัวลดลงจากเดิม 0.9% คาดน่าจะลดลงมาที่ 0.7% ในส่วนของ SPDR ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมปัจจุบันถือครอง 982.64 ตัน ด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงจาก 96.25 จุด ลงมาหลุด 96 จุด มาที่ 95.85 จุด ก่อนจะดีดกลับเช้านี้ที่ 96.02 จุด ขณะที่เงินบาทที่แข็งค่าหลุด 33.50 บาท/ดอลลาร์ ก็ดูจะมีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อ ท่ามกลางภาคส่งออกไทยที่ยังทำงานได้ดีและไม่ถูกกระทบเท่าไรนัก แต่การแข็งค่าของเงินบาทอาจจะกดดันให้ทองคำไทยถูกกดดันในทิศทางขาลง และจะเห็นได้ถึงการปรับลงต่อเนื่องจากเงินบาทที่เคยอยู่แถว 33.80 บาท/ดอลลาร์ มาที่ 33.40 บาท/ดอลลาร์เช้านี้

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค 

ราคาทองคำระยะสั้นเคลื่อนตัวกรอบ Sideways รอข่าวใหม่ๆ วันนี้คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,780 เหรียญ และแนวต้าน 1,790 เหรียญ โดยมีกลยุทธ์แนะนำการลงทุนในกรอบดังกล่าว ด้านราคาทองคำไทยคาดว่าน่าจะเปิด -150 บาท/บาททองคำ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ 

แนะนำ Sideways เน้นเล่นสั้นๆในกรอบ รอความชัดเจนของทิศทางและข่าวใหม่ๆ

– นักลงทุนที่ถือ Long Position  

แนะนำเล่นสั้น ลงซื้อขึ้นขายในกรอบ เข้าออกเร็วในวัน

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

แนะนำขายก่อนและซื้อกลับปิดทำกำไรทีหลัง เล่นสั้นๆ เข้าออกเร็วในวัน

Gold Futures 10Z21 จะมีแนวรับที่ระดับ 28,250 บาท และแนวต้านที่ระดับ 28,550  บาท

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

หากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์พิจารณาเปิดขายทำกำไรระยะสั้น เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,772-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์การลงทุนในตลาด TFEX จำเป็นต้องจำกัดความเสี่ยง เพราะจะมีวันหยุดในช่วงปลายสัปดาห์นี้

แนวรับ : 1,767 1,751 1,732  แนวต้าน : 1,796 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 1.10ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ระหว่างวันราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,792.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์จากแรงขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้  โดยเผชิญกับปัจจัยกดดันต่างๆ ได้แก่  (1.) แรงขายทำกำไรและแรงขายทางเทคนิค  หลังจากเกิดสัญญาณบ่งชี้ว่าแรงซื้อเริ่มชะลอตัวลง  ขณะที่ราคาไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50, 100 และ 200 วันได้  (2.) อัตราผลตอบแทนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10ปีที่พุ่งขึ้น 3 วันทำการติดต่อกัน  และขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1.5% ท่ามกลางแรงขายพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  หลังจากที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนล่าสุด  บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันวานนี้ ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน  ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย และ (3.) การเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ที่เพิ่มขึ้นเกินคาดสู่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2ปัจจัยที่กล่าวมากดดันให้ราคาทองคำร่วงลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวันจนทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,779.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์   ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งของสหรัฐ

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากราคาไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,793ดอลลาร์ต่อออนซ์ระดับสูงสุดวานนี้) ทำให้มีแนวโน้มอ่อนตัวลงสู่บริเวณ 1,772-1,767 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามหากยืนในโซนแนวรับแรกได้ ต้องจับตาแรงซื้อเก็งกำไรที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ราคาอาจดีดตัวขึ้นทดสอบโซน แนวต้านที่ 1,808ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

หากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน1,793-1,796ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำเปิดสถานะขายในโซนดังกล่าว(ตัดขาดทุนหากผ่านโซน1,808 ดอลลาร์ต่อออนซ์)ซื้อคืนเพื่อทำกำไรหากราคายืนเหนือแนวรับโซน1,772-1,767ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามการลงทุนควรเป็นในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้น ไม่ควรถือสถานะหลายวัน

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) WHO เผยโอมิครอนลาม 57ประเทศทั่วโลกองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนใน 57 ประเทศทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นจาก 38 ประเทศที่มีการรายงานเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.  WHO ระบุว่า มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นทางตอนใต้ของแอฟริกา และคาดว่าจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจะเพิ่มขึ้น ขณะที่โควิด-19ยังคงมีการแพร่ระบาด
  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากกความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเริ่มบรรเทาลง ขณเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ด้วย  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.51% แตะที่ 95.8905 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9198 ฟรังก์ จากระดับ 0.9248 ฟรังก์ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.66 เยน จากระดับ 113.62 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2653 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2647 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1349 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1260 ดอลลาร์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ ที่ระดับ 1.3234 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3236 ดอลลาร์
  • บริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันในวันนี้ ระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน  “ถึงแม้การฉีดวัคซีน 2 เข็มช่วยป้องกันอาการรุนแรงของโรคที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน แต่ข้อมูลในเบื้องต้นบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ตามด้วยเข็มกระตุ้นยังคงเป็นแนวทางดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19” แถลงการณ์ระบุทั้งนี้ ผลการทดลองในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของแอนติบอดีได้ถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ลดความสามารถในการต่อสู้ของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนลงเหลือเท่ากับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานด้วยการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม  ไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยว่า ทางบริษัทสามารถพัฒนาและจำหน่ายวัคซีนสูตรพิเศษที่สามารถต้านสายพันธุ์โอมิครอนได้ภายในเดือนมี.ค.2565
  • แหล่งข่าวเปิดเผยว่า รัฐบาลอังกฤษอาจประกาศยกระดับการคุมเข้มมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ หลังพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ขณะนี้ อังกฤษมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 10.5 ล้านราย ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐ อินเดีย และบราซิล ขณะที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่า 145,000 ราย  นอกจากนี้ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจำนวน 437 รายในประเทศ 
  • สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2
  • เจพีมอร์แกน เชส วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ออกรายงานระบุว่า ไวรัสโควิด-19 จะยุติการแพร่ระบาดในปี 2565 และเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปีดังกล่าว  รายงานระบุว่า การที่บริษัทเวชภัณฑ์สามารถผลิตวัคซีนสูตรใหม่และยารักษาโรคโควิด-19 จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นของผู้บริโภค  นายมาร์โก โคลาโนวิช หัวหน้านักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นเกือบ 8% ในปีหน้า สู่ระดับ 5050 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทะยานขึ้น 18% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวแตะ 2.25% ในช่วงสิ้นปี
  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ธ.ค.) ขานรับรายงานที่ว่าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญ  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,754.75 จุด เพิ่มขึ้น 35.32 จุด หรือ +0.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,701.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.46 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,786.99 จุด เพิ่มขึ้น 100.07 จุด หรือ +0.64%

โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด

CEO ของ Pfizer กล่าวว่า อาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ภายในระยะเวลา 12 เดือนหรือเร็วกว่านั้นหลังจากเข็มที่ 3 เพื่อรับมือกับ Omicron โดยผลการวิจัยพบว่า การฉีดเข็ม 3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพถึง 25 เท่า แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรกไปแล้วนั้นถึงแม้จะมีประสิทธิภาพลดลงแต่ก็ยังช่วยป้องกันความรุนแรง ลดอัตราการเข้า เCU และลดอัตราการเสียชีวิต สำหรับทิศทางตลาดหุ้นและทองคำยังแกว่งตัวในกรอบที่ยังไม่มีนัยสำคัญเท่าไรนัก

ที่มา : gold.in.th ( 9 ธ.ค.64 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.