ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 13 ม.ค.65 by SCT, HGF, GT, GCAP, YLG, TDC, MTS

565

- Advertisement -

โดย : บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จํากัด

คำแนะนำ   :  ทองยัง SW รอเฟดแถลงแนวทางคืนนี้ แนะรอย่อซื้อตอนลงแรง
   
แนวรับ 1784/ 1778  / 1767  แนวต้าน 1800 |1806|1815
              Gold/silver           USD                       Baht        DOW (stock)
ระยะสั้น     SW                      SW                  SW               SW   
ระยะกลาง  SW               SW /SW UP            SW               SW UP
ระยะยาว BULLISH              Neutral              WEAK          BULLISH
คำแนะนำรายวัน SIDEWAYS 1778-1805
จุดเข้า BUY 1770-80
เป้าหมาย 1800-15
SL 1750รายสัปดาห์
คำแนะนำรายเดือน 1750-1900
จุดเข้า BUY 1765-80 เป้าหมาย 1870-1900
SL 1750   

บทวิเคราะห์ : เมื่อวานทองพยายามรีบาวด์แต่ยังติดแนวต้านแถว $1800-5 โดยนักลงทุนยังรอฟังแนวทางขึ้นดอกเบี้ยของเฟดคืนนี้ และตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐฯที่จะประกาศคืนพรุ่งนี้ คาดว่าเฟดน่าจะแถลงแบบเดิม แต่เงินเฟ้อที่จะประกาศอาจหนุนราคาทองได้ จึงแนะนำให้รอซื้อช่วงราคาทิ้งตัวในช่วง2 วันอันตราย เพื่อเล่นสั้นๆจังหวะการรีบาวด์เป็นรอบๆไปก่อน
โดยภาพระยะกลางทองยังต้องอดทนต่อคำขู่ของเฟดที่ทั้งลด QE เร่งขึ้นดอกเบี้ยสามครั้งและเร็วขึ้นในปีนี้ แต่เชื่อว่าดัชนีเงินเฟ้อปีนี้จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทัน และตลาดก็เริ่มทยอยรับข่าวดอกเบี้ยนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เห็นได้จากราคาทองลงน้อยลงยาก  ดังนั้นนักลงทุนระยะกลางค่อยรอราคาทองร่วงแรงค่อยสะสม สำหรับสัปดาห์นี้เรารอฟังเฟดและสมาชิกเฟดแถลงเพื่อจับแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยจะได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์การเทรดในระยะกลางกันดีกว่า

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับที่ตลาดคาด

- Advertisement -

คืนนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค.

ราคาทองคำคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,810-1,830 ดอลลาร์

  • ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นในระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนมาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง ภายหลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้ข้อมูลดังกล่าวจะไม่ทำให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วไปกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ถือครองทองคำเท่าเมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน จากที่เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเที่ยบรายเดือนในเดือนพ.ย. หรือเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบรายปี จากที่เพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบรายปี  และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่า ลดลง 8,000 รายสู่ระดับ 207,000 ราย
  • แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,810-1,830 ดอลลาร์ โดยมีแนวต้าน 1,830 ดอลลาร์ และ 1,840 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับที่ 1,810 ดอลลาร์ และ 1,800 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

Closechg.SupportResistance
1,825.84+5.11,810/1,8001,830/1,840

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,700+5028,600/28,50028,950/29,050

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,850+7028,660/28,58028,960/29,070

แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,800 ดอลลาร์ (GF 28,580 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,790 ดอลลาร์ (GF 28,400 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,829.90+11.701,812/1,8021,832/1,842

ค่าเงิน

ทิศทางค่าเงินบาทเมื่อวานนี้แข็งค่าเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่า หลังจากที่เฟดยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ในขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้นคาดแข็งค่าต่อเนื่อง สำหรับ USD Futures เดือนมี.ค.65 คาดจะมีแนวรับที่ 33.15 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.60 บาท/ดอลลาร์

News

“พาวเวล” มั่นใจสหรัฐฝ่าวิกฤตโอมิครอนได้ เชื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบศก.

          นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แสดงความเชื่อมั่นในระหว่างการแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อคืนนี้ตามเวลาไทยว่า แผนการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของเฟดในปีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐก็แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เฟดไม่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นขนานใหญ่อีกต่อไป     นายพาวเวลกล่าวต่อคณะกรรมาธิการฯว่า เขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฝ่าฟันสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนไปได้ และเชื่อว่าผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งผลกระทบนี้จะไม่ทำให้แผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดการถือครองสินทรัพย์ของเฟดในปีนี้ต้องสะดุดลง     “เรามองว่าเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่อีกต่อไป ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะยุตินโยบายฉุกเฉินที่เฟดเคยนำมาใช้เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด และการยุตินโยบายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดแรงงาน” นายพาวเวลกล่าว    นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า การรักษาเสถียรภาพด้านราคาถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลักดันเศรษฐกิจและการจ้างงานให้ขยายตัวได้ต่อไป พร้อมกับกล่าวว่าเฟดจะใช้ความพยายามในการสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ แม้จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้   “ห่วงโซ่อุปทานที่กลับสู่ภาวะปกติจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากเงินเฟ้อในปีนี้ แต่เฟดไม่กลัวที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง เรารู้ว่าเงินเฟ้อสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเฟดจะใช้เครื่องมือด้านนโยบายทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นจนฝังตัวในระบบเศรษฐกิจ” นายพาวเวลกล่าว

“ไบเดน” ชี้สหรัฐมาถูกทางแล้วในการต่อสู้กับโควิด

          ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า สหรัฐนั้นมาถูกทางแล้วในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้ประเทศกำลังรับมือกับยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอนก็ตาม   สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า สถานการณ์นั้นแตกต่างจากระยะก่อน ๆ ของการแพร่ระบาด เนื่องจากประชาชนจำนวนมากได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส รวมถึงเข็มบูสเตอร์แล้ว    ปธน.ไบเดนแถลงต่อสื่อมวลชนว่า “ผมมั่นใจว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว”     อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดน ยอมรับว่า เขากังวลเกี่ยวกับความรวดเร็วในการแพร่ระบาดไปทั่วโลกของไวรัสโอมิครอน เพราะมันไม่ได้ระบาดลดลงมากนัก    แม้ว่าไวรัสโอมิครอนอาจมีความรุนแรงน้อยกว่า แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวเตือนว่า ยอดผู้ติดเชื้ออาจทำให้ระบบโรงพยาบาลต้องรับภาระหนัก ซึ่งบางแห่งได้ระงับการรักษาคนไข้ในกรณีที่ไม่เร่งด่วน เนื่องจากหลายโรงพยาบาลกำลังรับมือกับยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนบุคลากร    ขณะเดียวกัน ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดเรียน และประสบปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ ครู และคนขับรถประจำทาง

นักวิเคราะห์คาด BOJ เพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในการประชุมสัปดาห์หน้า

นักวิเคราะห์จากสถาบัน SMBC Nikko Securities คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในการประชุมนโยบายซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่า BOJ จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2%   นักวิเคราะห์คาดว่า แบงก์ชาติญี่ปุ่นจะประเมินความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนระลอกล่าสุด แต่ยังคงคาดการณ์เดิมว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวในระดับปานกลาง หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในปีที่ผ่านมาจากพิษโควิด-19   นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ด้วยว่า BOJ จะคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ -0.1% และคงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวอายุ 10 ปีที่ระดับ 0%

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • สหรัฐฯเผยดัชนี CPI เดือนธ.ค. พุ่งขึ้น+7% ต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยแต่ยังสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี
  • ในขณะที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน รีบออกแถลงทันทีว่าจำเป็นต้องจัดการกับเงินเฟ้อที่สูงเกินไปนี้โดยด่วน
  • อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกลับมองว่าภาวะเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ซึ่งเป็นการผ่อนคลายแรงกดดันที่มีต่อ Fedจึงเป็นไปได้ว่าอาจปรับขึ้นอตราดอกเบี้ยในปีนี้ไม่ถึง 4 ครั้งอย่างที่กังวลกันก็ได้

Technical

  • ราคาขึ้นมาทดสอบแนวต้าน RSI ทรงตัวใต้ระดับ overbought จึงดู 50/50 ว่าจะยืนต่อได้หรือไม่ แต่ยังคงให้น้ำหนักกับการเสี่ยงจะถูกขายทำกำไร
  • RSI ให้สัญญาณ bearish divergence ในเขต overbought เตือนว่าการปรับขึ้นอาจถูกเทขายทุกเมื่อ โดยคาดช่วงรับระยะสั้นที่1,810-1,815
  • ทิศทางวันนี้ย่อก่อนค่อยว่ากัน
  • จับจังหวะเล่นยังไง?short เป้าหมาย 1,810-1,815และ stop loss ถ้าราคาขึ้นเกิน1,830

Attention

  • รัฐบาลสหรัฐฯจะมีเงินใช้จ่ายไปถึง 18 ก.พ.
  • ดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเร็วกว่าคาดเพราะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการอัดฉีดสภาพคล่องทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนว่ารอบนี้นักลงทุนจะเลือกทองคำหรือเงินคริปโตเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่ากัน

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (12 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และยอดค้าปลีก 

มุมมองทองคำภาคเช้า  ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพุธ (12 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ชะลอตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องคอยติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในรอบสัปดาห์ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค  รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ดัชนีราคาผู้ผลิต  ยอดค้าปลีก  ดัชนีสินค้านำเข้า ดัชนีสินค้าส่งออก  ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม   ดัชนีสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ  ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เป็นต้น    

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (12 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และยอดค้าปลีก

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,813-  1,802-  1,803

แนวต้าน  1,831 –  1,835– 1,839

ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นต่อเนื่อง  โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวลง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์  นอกจากนี้แรงซื้อจากปัจจัยทางเทคนิค ยังช่วยหนุนให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วย  แนะเก็งกำไรทิศทางขาขึ้น

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

เน้นเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงโดยมีแนวรับบริเวณ 1,810-1,797ดอลลาร์ต่อออนซ์ และหากราคาขยับขึ้นควรแบ่งขายทำกำไรบางส่วนหากราคาทองคำไม่ผ่านโซน 1,830-1,834 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ถ้าผ่านได้สามารถถือต่อ

แนวรับ : 1,810 1,797 1,782  แนวต้าน : 1,834 1,849 1,863

จจัยพื้นฐาน

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือนสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% แต่เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. ซึ่งแม้จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 1982 แต่ก็ถือว่าสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่  ตัวเลขเลขดังกล่าวสะท้อนว่าเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าแผนการคุมเข้มนโยบายการเงิน  แต่เงินเฟ้อก็ไม่ได้ร้อนแรงถึงขนาดที่จะเร่งให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในปีนี้เช่นกัน  ประกอบกับตลาดมี Price in การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว  นั่นทำให้ดัชนีดอลลาร์เผชิญกับแรงขาย  ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ 94.907 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ 11 พ.ย. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงแตะระดับต่ำสุดที่ 1.7093%  จนเป็นปัจจัยหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเพิ่ม  ปัจจัยที่กล่าวมาทำให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,827.96 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และถ้อยแถลงของนางลาเอล เบรนาร์ดหนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด  ต่อคณะกรรมการการธนาคารประจำวุฒิสภาของสหรัฐในกระบวนการพิจารณาแต่งตั้งนางเบรนาร์ดเป็นรองประธานเฟด

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากระหว่างวันหากราคาทองคำไม่หลุดแนวรับแรกโซน 1,814-1,810ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคามีโอกาสราคาดีดตัวขึ้นต่อ โดยหากยืนเหนือบริเวณ 1,830-1,834 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ การขยับขึ้นจะมีแนวต้านถัดไปโซน 1,849 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดแนวรับแรก กรอบด้านล่างจะอยู่ที่ 1,797 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

การเปิดสถานะซื้ออาจใช้บริเวณแนวรับ 1,814-1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดให้ชะลอการเข้าซื้อไปยังโซนแนวรับถัดไป 1,797ดอลลาร์ต่อออนซ์(จุดตัดขาดทุนสถานะซื้อ) ขณะที่หากราคาดีดตัวขึ้นแนะนำทยอยแบ่งปิดสถานะทำกำไรตั้งแต่ราคา 1,830-1,834ดอลลาร์ต่อออนซ์เพื่อรอเข้าซื้อใหม่เมื่อราคาอ่อนตัว

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) IMF เตือนขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อจะเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อจะยิ่งเพิ่มความอันตราย และตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างชาติที่พัฒนาแล้วและชาติที่กำลังพัฒนา  “ธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางแห่งอื่นๆ ต่างก็รู้ดีว่าจะจัดการกับเงินเฟ้ออย่างไร แต่สิ่งนี้จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ และเพิ่มความเสี่ยงจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ” นางจอร์เจียวากล่าว 
  • (+) บอนด์ยีลด์สหรัฐร่วงหลุด 1.72% หลังเผยตัวเลขเงินเฟ้ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงหลุดระดับ 1.72% หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี แต่สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของตลาด  ณ เวลา 21.24 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.718% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.057%
  • (+) ดอลล์อ่อนค่า หลังสหรัฐเผยเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (12 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และยอดค้าปลีก  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.74% แตะที่ 94.9201 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.40 เยน จากระดับ 115.36 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9135 ฟรังก์ จากระดับ 0.9237 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2501 ดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2581 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1448 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1366 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3711 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3627 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7290 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7208 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 38.30 จุด ขานรับเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (12 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากมุมมองที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดจะไม่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถูกกดดันให้เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของธนาคารรายใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,290.32 จุด เพิ่มขึ้น 38.30 จุด หรือ +0.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,726.35 จุด เพิ่มขึ้น 13.28 จุด หรือ +0.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,188.39 จุด เพิ่มขึ้น 34.94 จุด หรือ +0.23%
  • (-) บิตคอยน์พุ่งทะลุ $43,000 คาดเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์บิตคอยน์พุ่งทะลุระดับ 43,000 ดอลลาร์ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของตลาด  ณ เวลา 00.26 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์พุ่งขึ้น 2.19% สู่ระดับ 43,731.30 ดอลลาร์ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase
  • (-) ซีอีโอแบงก์สวิสคาดบิตคอยน์พุ่งแตะ $75,000 ปีนี้นายกิโด บูห์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร Sebaจากสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า เขาเชื่อมั่นว่าบิตคอยน์จะพุ่งแตะระดับ 75,000 ดอลลาร์ในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนสถาบัน  “เราเชื่อว่าราคาบิตคอยน์จะปรับตัวขึ้นต่อไป โดยแบบจำลองของเราบ่งชี้ว่าราคาจะดีดตัวแตะ 50,000-75,000 ดอลลาร์ ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่าราคาจะไปถึงระดับดังกล่าว ปัญหาคือเมื่อไหร่เท่านั้น” นายบูห์เลอร์กล่าว  อย่างไรก็ดี นายบูห์เลอร์ย้ำว่าบิตคอยน์ยังคงมีความผันผวนสูง โดยได้ดิ่งลงหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือระดับ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย.2564
  • (+/-) สหรัฐเผยดัชนี CPI พุ่ง 7.0% ในเดือนธ.ค. สูงสุดเกือบ 40 ปีกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2525 และสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 6.8% ในเดือนพ.ย.  นอกจากนี้ ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% จากระดับ 0.8% ในเดือนพ.ย.  ขณะเดียวกัน ดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.4% จากระดับ 4.9% ในเดือนพ.ย.  นอกจากนี้ ดัชนี CPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.6% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% จากระดับ 0.5% ในเดือนพ.ย.

โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด

ตัวเลขเงินเฟ้อดัชนี CPI ขยายตัว 7% YoYเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 39 ปี ขณะที่ดัชนีเงินเฟ้อฟื้นฐาน (Core CPI) ขยายตัว 5.5% ถึงแม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะขยายตัวออกมามาก แต่เป็นสิ่งที่ตลาดได้รับรู้อยู่แล้วระดับหนึ่ง และทำให้ Bond yield ทั้งอายุ2 ปี และ 10 ปีไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างใด จากตรงนี้มองว่าหากไม่ได้มีปัจจัยใหม่ๆคาดว่า ราคาทองคำจะค่อยๆปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ และไปติดตามในช่วงปลายเดือนที่จะมีการประชุม FOMC ดังนั้นจึงยังคงแนะนำ Overweight ในราคาทองคำ

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้แก่ CPI m/m และ Core CPI m/m ออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ภาพรวมราคาทองคำยังมีการแกว่งตัวแต่เป็นการแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้น โดยทำจุดสูงสุดที่บริเวณ 1,825 เหรียญ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาสูงขึ้น ทำให้ดัชนีดอลลาร์หลุดระดับ 95 จุด ลงมา โดยทำจุดต่ำสูงสุดที่ 94.91 จุด ขณะที่เช้านี้สามารถดีดกลับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 94.98 จุด ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยลงมาที่ระดับ 33.27 บาท/ดอลลาร์ เป็นการแกว่งตัวของค่าเงินบาทตามดอลลาร์ที่ปรับตัวลดลง SPDR เมื่อวานนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 976.21 ตัน ด้านราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยขึ้นมาที่ระดับ 81.95 เหรียญ/บาร์เรล ทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองคำยังคงเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ Sideways ขณะที่ในช่วงสั้นเป็นลักษณะ Sideway up โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,830 เหรียญ สัญญาณทางเทคนิคทั่วไปยังไม่มีความชัดเจนของทิศทางมากนัก ขณะที่วันนี้ราคาจะเคลื่อนอยู่ในกรอบแนวรับที่ 1,805 เหรียญ และแนวต้านที่ 1,830 เหรียญ ซึ่งหากผ่านไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 1,840 เหรียญ สำหรับ Gold Comex และ Gold Online Futures คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,805 เหรียญ และแนวต้าน 1,830 เหรียญ ด้านราคาทองคำไทยน่าจะเปิดปรับขึ้น 50 บาท/บาททองคำ

Gold Futures Series G22 จะมีแนวรับที่ระดับ 28,700 บาท และแนวต้านที่ระดับ 29,000 บาท

โดยย้ำนักลงทุนว่า ราคาจะแตกต่างกันประมาณ 2 – 5 เหรียญ ดังนั้น การวิเคราะห์หรือ Arbitrage จะต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

ระยะสั้นยังเป็นการซื้อขายตามกรอบแนวรับแนวต้านเช่นเดิม แต่หาราคาทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,830 -1,832 เหรียญ ควรหาจังหวะซื้อตามในระยะสั้น

– นักลงทุนที่ถือ Long Position

ซื้อขายตามกรอบแนวรับ-ต้าน เน้นเทรดระยะสั้นในกรอบ แต่หากทะลุแนวต้านสำคัญถือต่อไปปิดบริเวณแนวต้านถัดไป

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

ซื้อขายตามกรอบแนวรับ-ต้าน เน้นเทรดระยะสั้นในกรอบ แต่หากราคาทะลุแนวต้านสำคัญควรลดสถานะ

ที่มา : gold.in.th ( 12 ม.ค. 65 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.