ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 10 ก.พ.65 by HGF, GT, SCT, GCAP, TDC, YLG, MTS

672

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ทองปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์

คืนนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค.

แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหว Sideways up   

  • ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง นอกจากนี้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำมากขึ้นจากการป้องกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งในระดับสูง แม้ว่าเป็นเหตุปัจจัยให้ธนาคารกลางสหรัฐเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ถือครองทองคำเท่าเดิมจากเมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน จากที่เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน หรือเพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบรายปี จากเพิ่มขึ้น 7.0% เมื่อเทียบรายปี
  • แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหว Sideways up    โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,820 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 1,810 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,840 ดอลลาร์ และ 1,850 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

- Advertisement -

Closechg.SupportResistance
1,833.0+7.51,820/1,8101,840/1,850

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,350-5028,200/28,10028,600/28,800

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,450+3028,420/28,34028,670/28,800

แนะนำเข้าซื้อราคาทอง Spot ที่ 1,810 ดอลลาร์ (GF 28,340 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,800 ดอลลาร์ (GF 28,220 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,834.20+5.101,822/1,8121,842/1,852

แนะนำเข้าซื้อราคา GOH22 ที่ 1,812 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,802 ดอลลาร์

ค่าเงิน

ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่องมากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ครึ่ง เนื่องจากกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าลงทุนจำนวนมาก ทั้งนี้ระยะสั้นแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าได้ต่อ  สำหรับ USD Futures เดือนมี.ค.65 มีแนวรับที่ 32.75 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.15 บาท/ดอลลาร์

News

WHO คาดโอมิครอน “BA.2” จะกลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก

          องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานคาดการณ์ว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.2 ของโอมิครอนจะแพร่ระบาดไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าสายพันธุ์ย่อยนี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในผู้ที่เคยติดเชื้อโอมิครอนมาก่อนหรือไม่    แพทย์หญิงมาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าแผนกโรคโควิด-19 ของ WHO ระบุว่า ทางองค์การฯกำลังเฝ้าระวังสายพันธุ์ย่อย 4 สายพันธุ์ของโอมิครอน โดยเธอคาดว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์หลักของโอมิครอน จะกลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดทั่วไปมากขึ้น  นอกจากนี้ แพทย์หญิงมาเรียยังระบุว่า WHO กำลังเฝ้าระวัง BA.2 เพื่อดูว่าสายพันธุ์ย่อยนี้ส่งผลให้เกิดยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนไปแล้วหรือไม่  แพทย์หญิงมาเรียเน้นย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าสายพันธุ์ย่อยแต่ละสายพันธุ์ก่อให้เกิดอาการที่มีความรุนแรงต่างกัน แม้การวิจัยในประเด็นนี้จะยังไม่สรุปผล และโดยทั่วไปแล้ว สายพันธุ์โอมิครอนไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์อัลฟาหรือเดลตา เพียงแต่แพร่กระจายได้เร็วกว่า   สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานผลวิจัยของเดนมาร์กก่อนหน้านี้ ซึ่งระบุว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2 ของโอมิครอนแพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์หลักราว 1.5 เท่า ทั้งยังสามารถทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสและเข็มบูสเตอร์ติดเชื้อได้ อย่างไรก็ดี ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสจะมีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

อิหร่านมั่นใจเศรษฐกิจได้รับประโยชน์จากการฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์

          นายอาลี ชามคานี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติอิหร่านได้ออกมาเปิดเผยว่า อิหร่านจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 หากสหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน   นายชามคานีกล่าวว่า เนื่องด้วยอิหร่านได้บูรณาการเศรษฐกิจและภาคเทคโนโลยี ตลอดจนขีดความสามารถเข้าด้วยกัน ดังนั้นควรมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในภาคส่วนนี้ทั้งหมด มิฉะนั้น อิหร่านก็ไม่มีทางที่จะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่ออย่างเป็นทางการว่าแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม (Joint Comprehensive Plan of Action JCPOA) เมื่ออิงจากประสบการณ์ที่แล้วมา   นอกจากนี้ นายชามคานีระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายผ่านการออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อสร้าง “แรงกดดันขั้นสูงสุด” และตราบใดที่สหรัฐยังคงยึดติดกับมายาคติที่ว่า “คำสัญญาที่ไม่มีผลผูกมัด” จะประสบความสำเร็จ เส้นทางการบรรลุข้อตกลงในการเจรจาที่กรุงเวียนนาก็จะไม่มีวันราบรื่น    สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภายใต้ข้อตกลงที่ทำร่วมกันในเดือนมิ.ย.ปี 2558 นั้น อิหร่านได้ตกลงจำกัดโครงการนิวเคลียร์บางส่วน เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก อย่างไรก็ดี อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ถอดสหรัฐจากข้อตกลงดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียวในปี 2560 และออกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกครั้ง ขณะที่อิหร่านโต้กลับด้วยการหยุดปฏิบัติตามพันธสัญญา    นับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปี 2564 อิหร่านและผู้เกี่ยวข้องสำคัญได้จัดการเจรจาหลายครั้งในกรุงเวียนนา เพื่อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยสหรัฐได้เข้าร่วมการเจรจาดังกล่าวในทางอ้อม

สภาผู้แทนฯสหรัฐผ่านร่างกม.งบประมาณชั่วคราว ช่วยหน่วยงานรัฐรอดชัตดาวน์

           สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 272 ต่อ 162 ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐมีงบประมาณใช้จ่ายไปจนถึงวันที่ 11 มี.ค. และหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้ต้องถูกปิดการดำเนินงาน หรือชัตดาวน์   ทั้งนี้ การผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว หรือที่เรียกว่า Continuing Resolution (CR) จะช่วยให้บรรดาเจ้าหน้าที่สภาคองเกรสมีเวลามากขึ้นในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2565  

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • Goldman Sachs คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี จะปรับตัวขึ้นแตะ 2.25% ในสิ้นปีนี้
  • ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯทั้งระยะสั้นและระยะยาว กำลังอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี
  • ประธาน Fed สาขาแอตแลนตา คาดการณ์ว่า FOMC มีแนวโน้มจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งสิ้น 4 ครั้งภายในปีนี้ แม้ส่วนตัวเขาจะเห็นว่าการปรับขึ้นเพียง 3 ครั้ง จะมีความเหมาะสมกว่าก็ตาม

Technical

  • RSI ขยับขึ้นแตะระดับoverbought แต่แรงซื้อดูสู้ให้ราคายืนเหนือ1,830 เพื่อขึ้นต่อ
  • ราคาสวิงผันผวนตรงแนวต้าน 1,830 ก่อนจะกระชากหนีขึ้นไปได้สำเร็จ จึงถือว่ายืนได้แล้ว พร้อมเคลียร์bearish divergence ใน RSI ทิ้งชั่วคราวด้วย
  • ทิศทางวันนี้ยืนได้ก็ต้องมองขึ้น
  • จับจังหวะเล่นยังไง?ฝั่งซื้อควรขายทำกำไรทั้งหมดและไม่ควรเสี่ยง follow buy เว้นแต่จะเล่นสั้นมาก และมีเวลาติดตามใกล้ชิดฝั่งขายแนะนำให้รอจังหวะfollow short เมื่อหลุด 1,830ลงมาอีกครั้ง

Attention

  • รัฐบาลสหรัฐฯจะมีเงินใช้จ่ายไปถึง 18 ก.พ.
  • ดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มจะปรับขึ้นเร็วกว่าคาดเพราะสหรัฐฯพร้อมขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ 4 ครั้ง เพื่อกดเงินเฟ้อ ซึ่งต้องรอดูว่ารอบนี้นักลงทุนจะเลือกเงินคริปโต หรือ ทองคำ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่ากัน

โดย : บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จํากัด

คำแนะนำ   :  ทองซึมขึ้น ภาพดูดี แต่ต้องลุ้นเงินเฟ้อคืนนี้ คาดออกได้สองหน้า
    
แนวรับ 1828 / 1820  / 1800 แนวต้าน 1840 |1850|1855
              Gold/silver           USD                       Baht        DOW (stock)
ระยะสั้น     SW /SW UP    SW DOWN/SW      SW              SW 
ระยะกลาง  SW UP/SW         SW                         SW               SW UP
ระยะยาว BULLISH              Neutral              WEAK          BULLISH
คำแนะนำรายวัน SIDEWAYS 1815-45
จุดเข้า SELL 1835-45
เป้าหมาย 1805-15
SL 1850รายสัปดาห์
คำแนะนำรายเดือน 1750- 1850
จุดเข้า BUY 1765-80 เป้าหมาย 1840 /1900
SL 1750   

บทวิเคราะห์ : ปัญหาเดิมๆ ทองโลกขึ้นเพียบ แต่บาทแข็งจัด เพราะเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทย  ทำราคาทองไทยแกว่งแคบ ไม่แรงดั่งคาด คืนนี้นักลงทุนต้องกลับมาเฝ้าดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐฯว่าจะมาออกหน้าไหน เช่นเดียวกับราคาทองที่มาถึงโซนต้องตัดสินพอดี ที่จะออกได้สองหน้า แต่การรีบาวด์แนะขายทำกำไร ลดพอร์ตลงมาก่อน ไว้ราคาทองยืน $1850  (STOP LOSS ฝั่งคนชอต) อันนี้คือขาขึ้นของจริงค่อยตามซื้อ
กลยุทธ์ : ระยะสั้นขึ้นขายลงซื้อ / ระยะกลางขายทำกำไรบางส่วน ไม่ชอตทองไทยเพราะเสี่ยงบาทกลับตัว / หรือรอราคาทองย่อแรงค่อยเช้า โดยจุดหนีคือ $1800 หรือแค่ราคาต่ำกว่า $1815 ภาพรีบาวด์ก็น่าจะจบ  / สรุป รอตัวเงินเฟ้อไปทางไหนตามทางนั้น คาดว่าราคาน่าจะ SIDEWAYS หรือเอียงไม่ข้าม $1850 นิดๆ

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (9 ก.พ.) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้

มุมมองทองคำภาคเช้า  ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพุธ (9 ก.พ.) ราคาดีดตัวขึ้นปิดเหนือระดับ 1,830 ดอลลาร์ หลังจากดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.15% แตะที่ 95.4950 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 1.925% เมื่อคืนนี้  ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันนี้  

นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนม.ค.ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะพุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2525

แม้ว่าในแง่ทฤษฎี ทองคำจะได้รับประโยชน์ หากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น เนื่องจากคาดว่านักลงทุนจะเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ แต่ในความเป็นจริง เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดทองคำ เนื่องจากทองเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย      

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (9 ก.พ.) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้

นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนม.ค.ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะพุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2525 

ทางด้านนายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เขาเห็นว่าการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ถือว่ามีความเหมาะสม แต่เขาก็คาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,820–1,815- 1,810

แนวต้าน  1,836 – 1,840-1,846

ทองคำปิดตลาดพุ่งขึ้นเมื่อคีนที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่คาดการณ์ว่าจะขยับตัวสูงขึ้นอีกและการอ่อนตัวลงของสกุลเงินดอลลาร์จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง กระตุ้นแรงซื้อทองคำนักลงทุนอาจรอตั้งรับเมื่อราคาอ่อนตัว

โดย : บริษัท ที.ดี.ซี. โกลด์ จำกัด

ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาสู่แนวต้านสำคัญบริเวณ $1830 ซึ่งยังแนะนำให้ติดตามรอดูทิศทางตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในคืนนี้ ในเบื้องต้นคาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ หากเงินเฟ้อปรับตัวลดลงหรือขยายตัวไม่เท่าที่ตลาดคาดการณ์จะเป็นปัจจัยบวกให้กับราคาทองคำและตลาดหุ้น เนื่องจากจะทำ
ให้ท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อาจจะไม่รุนแรงมาก สำหรับตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเป็นวันที่ 2 ขณะที่ US bond yield 10 ปีอยู่ระดับ 1.94%

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ

เน้นการซื้อเก็งกำไรระยะสั้น เข้าซื้อในบริเวณ 1,822-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,792 ดอลลาร์ต่อออนซ์) พิจารณาขายเพื่อหวังทำกำไรช่วงสั้นหากไม่ผ่านแนวต้าน 1,853 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,822 1,806 1,797  แนวต้าน : 1,853 1,867 1,878

จจัยพื้นฐาน

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยยังคงได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ที่กำลังจะเปิดเผยในช่วงค่ำของวันนี้ว่าอาจพุ่งขึ้น 7.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.1982 หรือในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนเพิ่มความเห็นของนางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารเฟดคลีฟแลนด์ ที่แม้จะกล่าวเมื่อวันพุธว่า เฟดจะต้องดำเนินการเร็วกว่าที่เคยเป็นมาเพื่อถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่อยู่เหนือเป้าหมาย แต่ก็ “ไม่จำเป็น” ต้องเริ่มต้นด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในเดือนมีนาคม สถานกการณ์ดังกล่าวกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ร่วงลงสู่ระดับ 1.935% จากระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือนที่ 1.97%ในวันพุธ ขณะที่ดีมานด์ในการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเมือคืนนี้เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนจากBid coverage ratio ที่เป็นมาตรวัดความต้องการครั้งนี้อยู่ที่ 2.68 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่พ.ค. 2020 สูงกว่าระดับ 2.51 ในเดือนที่แล้วจึงเป็นปัจจัยกดดันบอนด์ยีลด์เพิ่ม ปัจจัยนี้เองส่งผลหนุนทองในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย พร้อมกับกดดันดัชนีดอลลาร์ให้อ่อนค่าลงจนเป็นปัจจัยหนุนทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ครั้งใหม่ที่ 1,835.73 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับวันนี้จับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ

ปัจจัยทางเทคนิค :

ราคาทองคำยกระดับสูงสุดระดับต่ำสุดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริเวณแนวรับโซน 1,822-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สามารถยืนได้จึงเกิดแรงซื้อพยุงราคาไว้ อย่างไรก็ตามหากการปรับตัวขึ้นราคาไม่ผ่านโซนแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,853 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดของเดือน ม.ค.) นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นช่วงสั้น

กลยุทธ์การลงทุน :

แนะนำเปิดสถานะซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นในบริเวณ 1,822-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ลดพอร์ตการลงทุนหากราคาหลุด 1,792 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หากราคาดีดตัวขึ้นให้พิจารณาโซน 1,853 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะทำกำไร

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งเกินคาดในเดือนธ.ค.  กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 2.2% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ย.  เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 18.5% ในเดือนธ.ค.  ยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนพ.ย.  นอกจากนี้ เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.25 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก เพิ่มขึ้นจาก 1.22 เดือนในเดือนพ.ย.
  • (+) สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ลดลง เหตุดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น  สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 7% ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวขึ้น  เมื่อเทียบรายปี จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ดิ่งลง 52%
  • (+) ญี่ปุ่น-ฟิลิปปินส์เตรียมจัดการประชุม “2+2” สกัดอิทธิพลจีน  แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์จะจัดการประชุมความมั่นคงแบบ “2+2” ผ่านระบบออนไลน์ในเดือนนี้ เพื่อสกัดการแผ่อิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก  ทั้งนี้ ในการประชุมแบบ “2+2” แต่ละฝ่ายจะส่งรัฐมนตรี 2 คนเข้าร่วมการประชุม ได้แก่ รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหม
  • (+)ดอลลาร์อ่อนค่า ตลาดจับตาสหรัฐเผยเงินเฟ้อวันนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (9 ก.พ.) ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.15% สู่ระดับ 95.4950 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 115.4760 เยน จากระดับ 115.54 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9238 ฟรังก์ จากระดับ 0.9254 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2673 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2713 ดอลลาร์แคนาดา  สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1436 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1418 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3537 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3543 ดอลลาร์
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 305.28 จุด, Nasdaq พุ่งกว่า 2% รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกกว่า 300 จุดในวันพุธ (9 ก.พ.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 2% โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีชะลอตัวลง นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,768.06 จุด เพิ่มขึ้น 305.28 จุด หรือ +0.86%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,587.18 จุด เพิ่มขึ้น 65.64 จุด หรือ +1.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,490.37 จุด เพิ่มขึ้น 295.92 จุด หรือ +2.08%
  • (-) “โกลด์แมน แซคส์” คาดบอนด์ยีลด์สหรัฐดีดแตะ 2.25% ปลายปีนี้  โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี สู่ระดับ 2.25% ภายในปลายปีนี้ และจะแตะระดับ 2.45% ในปลายปี 2566  ก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี แตะระดับ 2.00% ภายในปลายปีนี้ และจะแตะระดับ 2.30% ในปลายปี 2566
  • (-) ประธานเฟดแอตแลนตาคาดเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งปีนี้  นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เขาเห็นว่าการที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ถือว่ามีความเหมาะสม แต่เขาก็คาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง  “เราคงต้องดูว่าเศรษฐกิจจะมีการตอบสนองอย่างไรหลังเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งอาจเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.” นายบอสติกกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC  นอกจากนี้ นายบอสนิกกล่าวว่า ภาวะเงินเฟ้อในเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังเริ่มชะลอตัวลง  “ผมมีความหวังว่าเราจะเริ่มเห็นเงินเฟ้อปรับตัวลง โดยมีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้เรื่องนี้” เขากล่าว

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ

ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยขึ้นมาทดสอบแนวต้านระยะสั้นที่บริเวณ 1,830 เหรียญ ภาพรวมราคาทองคำยังคงมีแรงซื้อเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หรือ CPI จะปรับตัวสูงขึ้น จากราคาน้ำมันที่ยังปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวานนี้ตัวเลขสต็อกน้ำมันคงเหลือของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่คาด ทำให้ภาพรวมราคาน้ำมันยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเช้านี้ราคาน้ำมันอยู่ที่ 88.78 เหรียญต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับระดับ 90 เหรียญต่อบาร์เรล ด้านดัชนีดอลาร์ทรงตัวที่ 95.50 จุด ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจากสภาวะการส่งออกของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นในทุกๆ ภาคส่วน ทำให้ค่าเงินบาทลงมาทดสอบบริเวณ 32.70 บาท/ดอลลาร์ วันนี้คาดว่าค่าเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าและเคลื่อนไหวที่บริเวณ 32.60 -32.80 บาท/ดอลลาร์ สำหรับวันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ CPI m/m, Core CPI m/m และ Unemployment Claims โดยภาพรวมของภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 7.2%  สำหรับกองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันถือครองที่ 1,015.96 ตัน  ขณะที่การติดเชื้อโอมิครอนของไทย พบยอดผู้ติดเชื้อสูงทะลุกว่า 10,000 ราย เป็ยวันที่ 3 และ WHO คาดว่าโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย  “BA.2” จะกลายเป็นสายพันธุ์หลักทั่วโลก อย่างไรก็ดี การติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้รุนแรงเท่ากับเชื้อไวรัสโควิด-19 ในก่อนหน้านี้ และไม่อันตรายถึงชีวิต ขณะที่ในหลายประเทศยังมีการประท้วงการฉีดวัคซีนอยู่

กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม ปัจจุบันถือครองที่ 1,015.96 ตันภาพรวมเดือนกุมภาพันธ์ ขายสุทธิ 1.79 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. – ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 40.3 ตัน

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านระยะสั้นและระยะกลางที่ 1,830 เหรียญขึ้นมา ทำให้ราคาทองคำยืนยันทิศทางเป็นขาขึ้น โดยมีแนวต้านที่ 1,841 เหรียญและแนวต้านถัดไปที่ 1,850 เหรียญ มีแนวรับที่ 1,820 เหรียญ กลยุทธ์การลงทุนทองคำปรับเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้นตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปเป็นทิศทางขาขึ้น อย่างไรก็ตาม ให้ระมัดระวังการกลับตัวของราคาทองคำ

ราคาทองคำ Gold spot คาดจะมีกรอบแนวรับ 1,820 เหรียญ และแนวต้าน 1,841 เหรียญ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

ปรับกลยุทธ์เน้นหาจังหวะเข้าซื้อมากขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของทิศทางราคาทองคำ แต่ยังแนะนำให้เทรดระยะสั้นเข้าออกตามกรอบแนวรับต้าน ยังต้องจับตาดูการปรับฐานของราคาที่อาจจะทำให้เกิดแรงเทขายลงมา

– นักลงทุนที่ถือ Long Position

หาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงลงมาบริเวณแนวรับ ยังเน้นเทรดระยะสั้นเข้าออกไว เพื่อลดความเสี่ยง

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

หากราคายังปิดเหนือแนวรับสำคัญได้ ยังไม่แนะนำให้เปิดสถานะ เนื่องจากยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อในระยะสั้น

  

ที่มา : gold.in.th ( 10 ก.พ. 65 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.