ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

วิเคราะห์ราคาทองคำ 7 ธ.ค.63(ภาคเช้า) by SCT

558

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

รอจังหวะการอ่อนตัวลงของราคาโซน 1,829-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จึงค่อยเข้าซื้อ หรือ หากราคาผ่าน 1,843-1,847 ดอลลาร์ต่อออนซ์จำเป็นต้องชะลอการเปิดสถานะขายออกไปก่อน

แนวรับ : 1,829 1,815 1,798  แนวต้าน : 1,847 1,864 1,878

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งของดัชนีดอลลาร์  ทั้งนี้  ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย  อาทิ  การคาดการณ์เกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังรอบใหม่ของสหรัฐ  ล่าสุดนาย Drew Hammill โฆษกของนาง Nancy Pelosi กล่าวในทวีตว่านาง Nancy Pelosi ประธานสภาผู้แทนฯสหรัฐและนาย Mitch McConnell ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา  มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการผ่านกฎหมายงบประมาณรายจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์)และเร่งทำข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังรอบใหม่เพื่อเยียวยาผลกระทบของ COVID-19  “โดยเร็วที่สุด” ซึ่งเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน  นอกจากนี้ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากการเปิดเผยตัวเลขดัชนีภาคบริการของสหรัฐจาก ISM ที่ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.อีกด้วย  ประกอบกับสินทรัพย์เสี่ยงชะลอความร้อนแรง  หลังจากไฟเซอร์คาดการณ์ว่า ทางบริษัทจะสามารถจัดส่งวัคซีนต้าน COVID-19 ได้เพียง 50 ล้านโดสเท่านั้นในปีนี้ ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งจากที่คาดการณ์เดิม เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับซัพพลายเชน สถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม  จึงช่วยหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดบริเวณ 1,843.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองลดลง -1.46 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยตัวเลขสำคัญในตลาดแรงงานสหรัฐ  ทั้งรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง, ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงาน

จจัยทางเทคนิค :

แม้ว่าราคาจะค่อยขยับขึ้นแต่ก็มีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเพิ่มขึ้น ส่งให้ราคาปรับตัวขึ้นในระดับจำกัด ระยะสั้นหากราคาพยายามยืนเหนือแนวรับบริเวณ 1,829-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ จะดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,843-1,847 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากสามารถยืนเหนือแนวต้านแรกได้อย่างมั่นคง ประเมินแนวต้านถัดไปโซน 1,864 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

สถานะซื้อสามารถถือต่อหากราคาไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,829-1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือถ้าเกิดการอ่อนตัวลงมาอาจเปิดสถานะซื้อหากราคาทองคำไม่หลุดแนวรับดังกล่าว (ตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นให้พิจารณาโซน 1,843-1,847 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดปิดสถานะซื้อทำกำไร

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยยอดตายจากโควิดวันเดียวพุ่ง 2,800 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์  หาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์รายงานว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐจำนวน 2,800 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสูงกว่าจำนวน 2,713 รายที่มีการรายงานวานนี้  ก่อนหน้านี้ สหรัฐรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ราว 2,600 รายในวันที่ 15 เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงแรกของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ขณะเดียวกัน มีการรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐจำนวนมากกว่า 2 แสนรายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 2
  • (+) ดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.ซบเซา  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.44% แตะที่ 90.7169 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 103.96 เยน จากระดับ 104.55 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8914 ฟรังก์ จากระดับ 0.8960 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2855 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2921 ดอลลาร์แคนาดา  สกุลเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2141 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2099 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3449 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3359 ดอลลาร์
  • (+) บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลง นักลงทุนรอความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนรอความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ  ณ เวลา 23.42 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 0.924% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 1.673%  ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน  นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐตามข้อเสนอของนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา หากมาตรการดังกล่าวสามารถผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส  “ท่านประธานาธิบดีจะลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คุณแมคคอนเนลล์เสนอ และเราจะพยายามสานต่อจากข้อเสนอดังกล่าว” นายมนูชินกล่าว 
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวกเพียง 85.73 จุด วิตกไฟเซอร์ลดเป้าหมายจัดส่งวัคซีน  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งความหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลหลังจากบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ประกาศลดเป้าหมายการจัดส่งวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ฉุดราคาหุ้นไฟเซอร์ปิดตลาดร่วงลงกว่า 1.7%  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,969.52 จุด เพิ่มขึ้น 85.73 จุด หรือ +0.29% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,666.72 จุด ลดลง 2.29 จุด หรือ -0.06% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,377.18 จุด เพิ่มขึ้น 27.81 จุด หรือ +0.23%
  • (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐพุ่งสูงสุดรอบกว่า 5 ปีในเดือนพ.ย.  ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.4 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 จากระดับ 56.9 ในเดือนต.ค.
  • (-) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด  กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 712,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือนมี.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 780,000 ราย จากระดับ 787,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

- Advertisement -

Leave a Reply