ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำวันนี้ 14 ธ.ค.63 (YLG)

497

- Advertisement -

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เก็งกำไรระยะสั้นตามกรอบราคา แม้ว่าราคาจะค่อยขยับขึ้นได้บ้างแต่แรงซื้อไม่มาก แนะนำทยอยขายทำกำไรหากราคายังไม่ยืนเหนือโซน 1,849-1,860 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเข้าซื้อคืนหากราคายืนเหนือโซน 1,823-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

แนวรับ : 1,794 1,779 1,765  แนวต้าน : 1,821 1,833 1,847

- Advertisement -

สรุป ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ในระหว่างวันราคาพุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดที่ 1,847.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำเผชิญกับแรงขายทำกำไรในที่สุด  เนื่องจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังรอบใหม่ยังมีความไม่แนนอนสูง  เพราะพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตยังมีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับขนาดของมาตรการดังกล่าว  นอกจากนี้  ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนต้าน COVID-19  ขณะที่ล่าสุด  องค์การอาหารและยา (FDA)ของสหรัฐ ได้ “อนุมัติ” วัคซีนต้าน COVID-19 ของ Pfizer-BioNTech สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน (emergency use authorization -EUA)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ขณะที่วัคซีนจะถูกจัดส่งไปถึงสถานที่ต่างๆ ในรัฐทั่วประเทศเกือบ 150 แห่ง ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค.นี้ตามเวลาสหรัฐ  สถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  ไม่ใช่แค่นั้น  ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์  ท่ามกลางการดิ่งลงของปอนด์  เนื่องจากความเสี่ยงของ No-deal Brexit เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  หลังนายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษ เผยเมื่อวันศุกร์ว่า มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่อังกฤษจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป  ปัจจัยที่กล่าวกดดันสกัดช่วงบวกของราคาทองคำ  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองลดลง -3.79 ตัน  สำหรับวันนี้ไม่มีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ  แต่อาจต้องใช้การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐ  และการเคลื่อนไหวของดอลลาร์เพื่อชี้นำทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยดัชนี PPI เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย.กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI ปรับตัวขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนต.ค.  นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบรายปี
  • (-) ดอลล์แข็งค่า นลท.ซื้อสกุลเงินปลอดภัยขณะวิตกแนวโน้มเศรษฐกิจ  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในสหรัฐกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.17% สู่ระดับ 90.9726  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8894 ฟรังก์ จากระดับ 0.8870 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2771 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2744 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 104.00 เยน จากระดับ 104.18 เยน ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2114 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2133 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3225 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3290 ดอลลาร์
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 47.11 จุด นลท.รอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,046.37 จุด เพิ่มขึ้น 47.11 จุด หรือ +0.16% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,663.46 จุด ลดลง 4.64 จุด หรือ -0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,377.87 จุด ลดลง 27.94 จุด หรือ -0.23%
  • (-) ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐสูงเกินคาดในเดือนธ.ค.  ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 81.4 ในเดือนธ.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 75.5 จากระดับ 76.9 ในเดือนพ.ย.
  • (-) หายนะ no-deal Brexit ใกล้เป็นจริง! ขณะเจรจาการค้าอังกฤษ VS อียูส่อล่ม  นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในวันนี้ว่า มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่อังกฤษจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งจะทำให้อังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) นายจอห์นสันกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งกันในประเด็นการประมง และการที่ EU กำหนดข้อบังคับให้มีการลงโทษอังกฤษ หากมีการละเมิดข้อตกลง 
  • (-) สหรัฐเตรียมรับวัคซีนโควิด-19 ชุดแรก 14 ธ.ค. นี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ชุดแรก จะถูกจัดส่งถึงรัฐต่างๆ ของสหรัฐ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์นี้เป็นต้นไป  กุสตาฟ เปอร์นา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการประจำโครงการแผนปฏิบัติการความเร็วสูง (Operation Warp Speed) ของรัฐบาลสหรัฐ เปิดเผยว่า บริษัทขนส่งยูพีเอส (UPS) และเฟดเอ็กซ์ (FedEx) จะจัดส่งวัคซีนไปยังสถานที่ต่างๆ ในรัฐทั่วประเทศเกือบ 150 แห่ง  เปอร์นากล่าวว่า วัคซีนมีกำหนดส่งถึงที่หมายในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อน ก่อนที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายฉีดให้แก่ประชาชน
  • (-) FDA อนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิดของไฟเซอร์แล้ว เตรียมแจกจ่ายทั่วสหรัฐ สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐได้อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์และบริษัทไบโอเอ็นเทคในกรณีฉุกเฉินแล้ว  นางเดนิส ฮินตัน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ FDA ระบุในจดหมายที่ส่งถึงไฟเซอร์ในวันศุกร์ (11 ธ.ค.) ว่า เธอได้อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ในกรณีฉุกเฉินแล้ว  ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตวิดีโอระบุว่าเป็น “ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์”
  • (+/-) ทรัมป์เซ็นต่ออายุกม.งบใช้จ่ายรัฐอีก 1 สัปดาห์ ขณะชาวมะกันรอมาตรการเยียวยา  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในกฎหมายเพื่อต่ออายุงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวของรัฐบาลกลางสหรัฐอีก 1 สัปดาห์ ขณะที่สภาคองเกรสกำลังเร่งที่จะบรรลุข้อตกลงในการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19  วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในสัปดาห์นี้ ซึ่งกฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในวันเสาร์นี้ตามเวลาสหรัฐ หากไม่มีการต่ออายุงบประมาณดังกล่าว  ทั้งนี้ กฎหมายงบประมาณชั่วคราวล่าสุดจะมีอายุถึงวันที่ 18 ธ.ค.นี้ ขณะที่บรรดาผู้นำในสภาคองเกรสหวังที่จะสามารถอนุมัติกฎหมายงบประมาณประจำปี 2564 และมาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ได้ก่อนถึงวันครบกำหนดดังกล่าว

- Advertisement -

Leave a Reply