ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 20 ต.ค.64 by InterGold, MTS, GCAP, YLG

600

- Advertisement -

โดย : บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด

กลยุทธ์ : รอไปต่อ

แนวต้าน : 1780 หรือ 28,100 บาท

แนวรับ : 1770 หรือ 28,000 บาท

ทองคำได้รับแรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. ทั้งนี้ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่เกินคาด อาทิ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐฯที่ ปรับตัวลดลงเกินคาด,การอนุญาตก่อสร้างที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี และการแข็งค่าของเงินปอนด์จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีนี้และปีหน้าเพื่อรับมือกับการพุ่ง ขึ้นของเงินเฟ้อ แต่ทั้งนี้ทองคำก็ได้รับเเรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีให้ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนครึ่งบริเวณ 1.646% จนกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ทำให้การปรับตัวของทองคำเป็นไปอย่างจำกัด

- Advertisement -

โดย  : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำทรงตัวอยู่ในกรอบใกล้เคียงเดิมระหว่าง 1,760 – 1,774 เหรียญ โดยที่มีการแกว่งตัวขึ้นไปแนว 1,775 เหรียญ และมีการปรับกลับลงมาแถว 1,768 เหรียญ ภาพรวมทองคำเคลื่อนไหวไร้ทิศทงและภาพรวมการระบาดของ Covid-19 ยังมีต่อเนื่อง ขณะที่คนติดเชื้อในไทยยังทรงตัวแถว 9,000 รายขึ้นไป ด้านเศรษฐกิจโดยองค์รวมของโลกดูจะฟื้นตัวได้มากขึ้น แต่ไทยน่าจะเติบโตได้มากขึ้นหากเปิดประเทศสำเร็จ ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อวานนี้ ได้แก่ Building Permits และ Housing Starts ออกมาแย่กว่าคาด วันนี้ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญใดๆ ด้านดัชนีดอลลาร์เมื่อวานนี้แกว่งตัวในกรอบ 93.50 – 93.78 จุด และเช้านี้ยังทรงตัว และจะเห็นได้ถึงการเคลื่อนไหวที่เริ่มต่ำกว่าระดับ 94 จุด

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองคำยังเคลื่อนตัวกรอบ Sideways วันนี้คาดจะเคลื่อนไหวใกล้เคียงเดิม โดยมีแนวรับแรก 1,760 เหรียญ และแนวต้าน 1,785 เหรียญ ในส่วนของ Gold Online Futures และ Comex Gold จะมีแนวรับ 1,763 เหรียญ และแนวต้าน 1,788 เหรียญ ทางด้านทองคำไทยคาดจะทรงตัวเท่าเดิ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

แนะนำเล่นสั้นในกรอบ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด คาดจะเห็นการแกว่งตัวในกรอบไปอีกระยะ

– นักลงทุนที่ถือ Long Position 

แนะนำให้ทำการลงซื้อขึ้นขายในกรอบ เน้นเล่นสั้นๆในวัน และมี Stop Loss หากต่ำกว่า 1,750 เหรียญ

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

แนะนำให้เล่นสั้นขายก่อน และซื้อปิดทำกำไรทีหลังเมื่อราคาอ่อนตัว เน้นเล่นในวัน และมี Stop Loss หากสูงกว่า 1,790 เหรียญ

Gold Futures 10V21 จะมีแนวรับที่ระดับ 28,000 บาท และแนวต้านที่ระดับ 28,350  บาท

โดย : บริษัท จีแคป จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำช่วงเช้า

เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนพ.ย.และธ.ค. รวมทั้งจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อไปในปีหน้า หลังจากที่นายแอนดรูว์เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE ส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า BoE มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

มุมมองทองคำภาคเช้า  ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ   นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 1.6% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 1.555 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.620 ล้านยูนิต จากระดับ 1.580 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. ทั้งนี้ การเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการขาดแคลนแรงงาน ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านดิ่งลง 7.7% สู่ระดับ 1.589 ล้านยูนิตในเดือนก.ย.

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่  รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ  จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน  ดัชนีภาคการผลิต เฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย  ยอดขายบ้านมือสอง  ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ  ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต  ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ  เป็นต้น    

สรุปภาวะแลกเปลี่ยนเงินตรา

เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

แนะแนวทางการลงทุน

แนวรับ 1,756-  1,751- 1,745

แนวต้าน  1,778–1,783– 1,788

ราคาทองคำปิดบวกโดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ  เมื่อดอลลาร์อ่อนค่าจะทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีราคาถูกลงและมีความน่าดึงดูดมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น  แนะรอซื้อ

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,766-1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และทยอยปิดสถานะทำกำไรบางส่วนหากไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,789-1,792 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แนวรับ : 1,760 1,747 1,731  แนวต้าน : 1,792 1,808 1,821

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.67ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวันราคาทองคำทะยานขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,785.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. ทั้งนี้  ดัชนีดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่เกินคาด  อาทิ  ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงเกินคาดและการอนุญาตก่อสร้างที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสที่3 นอกจากนี้ดัชนีดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากการแข็งค่าของเงินปอนด์จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษ(BoE)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีนี้และปีหน้าเพื่อรับมือกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำเผชิญกับแรงขายทำกำไร  และแรงขายทางเทคนิคในเวลาต่อมา  หลังจากเกิดสัญญาณที่บ่งชี้ว่าโมเมนตัมเชิงบวกชะลอตัวลง  นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากความเห็นของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการเฟด  ที่กล่าวเมื่อคืนนี้ว่า  เฟดอาจต้องใช้ “การตอบสนองเชิงนโยบายที่แข็งกร้าวมากขึ้นในปีหน้า” หากอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงยังคงดำเนินต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแทนที่จะปรับตัวลดลงอย่างที่คาดไว้  ความเห็นดังกล่าวหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนครึ่งบริเวณ 1.646% จนกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด

ปัจจัยทางเทคนิค :

แม้ราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างจำกัด แต่ระยะสั้นหากราคาพยายามจะดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 1,789-1,792 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถยืนเหนือต้านดังกล่าวได้อย่างมั่นคง จะเกิดแรงขายกดดันให้ราคาลงมาสู่แนวรับโซน1,766-1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์เพื่อสะสมแรงซื้ออีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน :

หากสามารถยืนเหนือ 1,766-1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดสถานะซื้อ โดยตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับการขายทำกำไรอาจพิจารณาบริเวณ 1,789-1,792 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านขึ้นไปให้ชะลอการขายไปที่ 1,808ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านลดลงในเดือนก.ย. สวนทางคาดการณ์กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 1.6% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 1.555 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.620 ล้านยูนิต จากระดับ 1.580 ล้านยูนิตในเดือนส.ค.  การเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการขาดแคบนแรงงาน  ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวทรงตัวที่ระดับ 1.080 ล้านยูนิตส่วนการก่อสร้างบ้านสำหรับหลายครอบครัว ซึ่งรวมถึงอพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม ลดลง 5.1% สู่ระดับ 467,000 ยูนิต  การอนุญาตก่อสร้างบ้านดิ่งลง 7.7% สู่ระดับ 1.589 ล้านยูนิตในเดือนก.ย.
  • (+) IMF หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียโต 6.5% ปีนี้ ขณะคาดไทยขยายตัว 1%กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียในปีนี้ ขณะที่เตือนว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่, ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และแรงกดดันจากเงินเฟ้อ จะสร้างความเสี่ยงในช่วงขาลงต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเอเชีย  ทั้งนี้ รายงาน Regional economic outlook : Asia and Pacific ที่มีการเปิดเผยในวันนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจเอเชียจะมีการขยายตัว 6.5% ในปีนี้ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 7.6%  อย่างไรก็ดี IMF ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของเอเชียในปีหน้าสู่ระดับ 5.7% จากเดิมที่ระดับ 5.3% โดยระบุถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง  ขณะเดียวกัน IMF คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัว 8.0% และ 5.6% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ แต่เตือนว่าการฟื้นตัวยังคงมีความไม่สมดุล ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการคุมเข้มทางการคลังเป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อการบริโภค  สำหรับประเทศไทยนั้น IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัว 1.0% และ 4.5% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.6% และ 5.7%
  • (+) ปอนด์แข็งค่า หลังแบงก์ชาติอังกฤษส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.24% แตะที่ 93.7341.เมื่อคืนนี้เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3799 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3730 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1640 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1610 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7478 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7417 ดอลลาร์ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.30 เยน จากระดับ 114.26 เยน แต่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9226 ฟรังก์ จากระดับ 0.9232 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2359 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2376 ดอลลาร์แคนาดา
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 198.70 จุด รับแรงซื้อหุ้นเฮลธ์แคร์-ผลประกอบการสดใสดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 5 และกลับมายืนที่เหนือระดับ 4,500 จุดได้อีกครั้ง โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,457.31 จุด เพิ่มขึ้น 198.70 จุด หรือ +0.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,519.63 จุด เพิ่มขึ้น 33.17 จุด หรือ +0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,129.09 จุด เพิ่มขึ้น 107.28 จุด หรือ +0.71%
  • (-) WHO เผยกำลังเจรจา “เมอร์ค” ซื้อยาโมลนูพิราเวียร์เพียง 300 บาท/คอร์สสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างร่างเอกสารฉบับหนึ่งระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) มีโครงการที่จะช่วยให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงวัคซีนและยาต้านโควิด-19 โดย WHO จะจัดซื้อยาดังกล่าวในราคาเพียงคอร์สละ 10 ดอลลาร์ หรือราว 300 บาท  แม้ว่า WHO ไม่ได้ระบุโดยตรงถึงการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ แต่เอกสารดังกล่าวระบุว่า โครงการ Access to COVID-19 Tools Accelerator (ACT-A) มีแผนที่จะจัดซื้อ “ยาที่ใช้รับประทานตัวใหม่สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง” รวมทั้งยาอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาสำหรับการรักษาโรคโควิด-19 จำนวน 28 ล้านคอร์ส ในราคาคอร์สละ 10 ดอลลาร์  นอกจากนี้ โครงการ ACT-A ยังมีแผนซื้อยาอีก 4.3 ล้านคอร์สสำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง โดยจะซื้อยาในราคา 28 ดอลลาร์ต่อ 1 คอร์ส

ที่มา : gold.in.th ( 20 ต.ค. 64 )

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.