ราคาทองวันนี้ ข่าวทองคำ

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 17 พ.ย.64 by HGF, GT, YLG

546

- Advertisement -

โดย  : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ทองคำลดลง ยอดค้าปลีกสหรัฐดีกว่าตลาดคาด

คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยการอนุญาตก่อสร้างและการเริ่มสร้างบ้าน

ทองคำคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,870 ดอลลาร์

  • ราคาทองคำ Spot เมื่อวานปรับลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เนื่องจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 16 เดือนและแรงเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด โดยสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.7%ดีกว่าตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 1.3% เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.6%ดีกว่าตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 0.9% ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ถือครองทองคำเท่าเดิมต่อเนื่องเป็นวันที่ 2เมื่อวาน
  • คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยการอนุญาตก่อสร้างและการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.63ล้านยูนิต และ 1.58ล้านยูนิต ตามลำดับ หลังจากที่เดือนก.ย.อยู่ที่ระดับ 1.59ล้านยูนิต และ 1.56ล้านยูนิต ตามลำดับ
  • แนวโน้มราคาทองคำคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,870 ดอลลาร์ทั้งนี้ทองคำมีแนวรับอยู่ที่1,850 ดอลลาร์และ 1,840 ดอลลาร์ขณะที่มีแนวต้านสำคัญ 1,870 ดอลลาร์และ1,877 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

- Advertisement -

Closechg.SupportResistance
1,850.20-12.21,850/1,8401,870/1,877

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,950+10028,700/28,55028,950/29,050

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
28,870-25028,860/28,70029,100/29,220

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อไว้แนะนำขายทำกำไรบางส่วนที่ราคาทอง Spot1,870ดอลลาร์ (GF 29,100 บาท) การเข้าซื้อเก็งกำไรแนะนำเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,850ดอลลาร์ (GF 28,860 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,840ดอลลาร์ (GF28,700 บาท)

โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์

ClosechgSupportResistance
1,853.30-22.001,852/1,8421,872/1,880

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อไว้แนะนำขายทำกำไรบางส่วนที่ราคาทอง Spot1,872ดอลลาร์การเข้าซื้อเก็งกำไรแนะนำเมื่อราคาGOZ21ปรับลงมาที่ 1,852 ดอลลาร์โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,842ดอลลาร์

ค่าเงิน

ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดจะอ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ที่เพิ่มขึ้น 1.7%ดีกว่าตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 1.3%โดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 32.65 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 32.85 บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลล์แข็งค่าขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแกร่งเกินคาด

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา (16 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินเพิ่มขึ้น 0.53% แตะที่ 95.9182 เมื่อคืนนี้

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนที่ผ่านมา (16 พ.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค.   ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 12.5 ดอลลาร์หรือ 0.67% ปิดที่ 1,854.1 ดอลลาร์/ออนซ์สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 16.1 เซนต์หรือ 0.64% ปิดที่ 24.944 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดลบ 12 เซนต์หลังIEA คาดราคาน้ำมันชะลอตัว

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนที่ผ่านมา (16 พ.ย.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะชะลอตัวลงในอนาคตขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 12 เซนต์หรือ 0.2% ปิดที่ 80.76 ดอลลาร์/บาร์เรลซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย. 2564  สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์หรือ 0.5% ปิดที่ 82.43 ดอลลาร์/บาร์เรล

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนที่ผ่านมา (16 พ.ย.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค. รวมทั้งรายงานผลประกอบการที่สดใสของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่เช่นวอลมาร์ทและโฮมดีโปท์ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุดเพิ่มขึ้น 54.77 จุดหรือ +0.15%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุดเพิ่มขึ้น 18.10 จุดหรือ +0.39% และดัชนีNasdaqปิดที่ 15,973.86 จุดเพิ่มขึ้น 120.01 จุดหรือ + 0.76%

ผู้นำวุฒิสภาสหรัฐจ่อเพิ่มกม.นวัตกรรมในกม.ความมั่นคงหวังสภาผู้แทนฯไฟเขียว

นายชัคชูเมอร์ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครตของสหรัฐประกาศวาเขาจะเพิ่มกฎหมายนวัตกรรมและการแข่งขันของสหรัฐ (US Innovation and Competition Act หรือUSICA) ในกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (National Defense Authorization Act หรือNDAA) ประจำปีที่วุฒิสภาจะเริ่มพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้โดยเป็นการผลักดันกฎหมายที่ชะงักงันมานานหลายเดือนในสภาผู้แทนราษฎร  “วิกฤตห่วงโซ่อุปทานของเราจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและเราไม่อาจรอได้” นายชูเมอร์กล่าว

“ไบเดน-สีจิ้นผิง” เปิดฉากประชุมทางไกลให้คำมั่นกระชับสัมพันธ์-ลดขัดแย้ง

ประธานาธิบดีโจไบเดนผู้นำสหรัฐได้เปิดฉากการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงผู้นำจีนโดยบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอย่างเป็นมิตรในการประชุมทางไกลครั้งนี้ปธน.ไบเดนเป็นผู้กล่าวเปิดการประชุมโดยกล่าวว่าในฐานะผู้นำประเทศทั้งตัวเขาเองและปธน.สีมีความรับผิดชอบในการสร้างความเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐจะไม่พลิกผันไปสู่ความขัดแย้งปธน.ไบเดนกล่าวว่าเขาคาดหวังว่าจะได้ประชุมแบบพบหน้ากันร่วมกับปธน.สีและรอคอยที่จะสนทนากันอย่างตรงไปตรงไปพร้อมกับกล่าวว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้นำคือการแสดงออกอย่างจริงใจว่าไม่เห็นด้วยในเรื่องใดและหาแนวทางที่จะสามารถดำเนินการร่วมกันได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการลดภาวะโลกร้อนขณะที่ปธน.สีกล่าวกับปธน.ไบเดนว่าทั้งสองประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายจำนวนมากร่วมกันและควรต้องเพิ่มการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างสองประเทศพร้อมกับกล่าวว่าการพูดคุยแบบพบหน้ากันเป็นเรื่องที่ดีกว่าพร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐและจีนเพิ่มการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกัน

ประธานาธิบดีโจไบเดนแห่งสหรัฐได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Bipartisan Infrastructure Framework – BIF) วงเงินกว่า1ล้านล้านดอลลาร์แล้วซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของปธน.ไบเดนที่สามารถรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่าเขาจะสร้างงานจำนวนหลายล้านตำแหน่งและผลักดันสหรัฐให้สามารถแข่งขันกับจีนได้กฎหมายBIF ซึ่งรวมถึงงบประมาณการใช้จ่ายระยะเวลา5ปีวงเงิน5.50แสนล้านดอลลาร์นั้นใช้เวลานานหลายเดือนก่อนที่จะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสโดยกฎหมายฉบับนี้จะเปิดทางให้โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของปธน.ไบเดนกลายเป็นรูปธรรมซึ่งรวมถึงการสร้างถนน, สะพาน, การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์ตแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ   “กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ปี2565เป็นปีแรกในรอบ20ปีที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐขยายตัวรวดเร็วกว่าจีน” ปธน.ไบเดนกล่าวในพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมายBIF ที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้เมื่อวันที่26มิ.ย.ที่ผ่านมาปธน.ไบเดนได้ประกาศการบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรสเกี่ยวกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐโดยโครงการBIF ดังกล่าวมีวงเงินรวม1.2ล้านล้านดอลลาร์และมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ    “โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐและจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานของเรามีความทันสมัยมากขึ้นโครงการเหล่านี้จะสร้างระบบการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน้ำประปาที่สะอาดมีเครือข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุมมีสาธารณูปโภคด้านพลังงานที่สะอาดและจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนAmerican Jobs Plan ของผม” ปธน.ไบเดนเปิดเผยในวันดังกล่าว

โดย : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

Fundamental

  • สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงแข็งสุดในรอบ 16 เดือน หลังยอดค้าปลีกโตเกินคาด สวนทางประมาณการฝั่งยุโรปที่ท่าว่าจะย่ำแย่เพราะโควิดกำลังระบาดหนัก
  • ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ส่งสัญญาณว่าฝั่งยุโรปจะยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าให้สูงขึ้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม
  • ประธาน Fedสาขาเซนต์หลุยส์ เตือนให้รีบลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อด้วยการเร่งลดQE ให้เร็วขึ้นเท่าตัวเพื่อเป็นหลักประกันแก่เศรษฐกิจในระยะยาว

Technical

  • รูปซ้ายราคาย่อลงมายืนบนแนววัดใจ ถ้าเลือกลงจะกลายเป็น triple top แต่ถ้าเลือกขึ้นจะมีแรงหนุนจาก RSI คอยดันไปใกล้ 1,900 ตามลักษณะขาขึ้นแข็งแรง
  • รูปขวาfalse break เมื่อคืนปรับกรอบการแกว่งตัวให้กลายเป็น broadening triangle ที่ต้องดูสัญญาณวันนี้ว่าราคามีโอกาสจะเลือกทางไหนมากกว่ากัน
  • ทิศทางวันนี้วัดกันที่ 1,860 จะยืนบนหรือยืนล่าง
  • จับจังหวะเล่นยังไง?เข้าฝั่งซื้อไว้ก่อนแค่บางส่วน ถ้าผ่าน 1,860 ให้ซื้อเพิ่ม แต่ถ้าหลุด 1,850 ให้ตัดขาดทุนแล้วเปลี่ยนไปเล่นฝั่งชอร์ต

Attention

  • ยุโรปกำลังเผชิญโควิดระลอกใหม่ หลังหลายประเทศรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่มีโควิดซึ่งหลายชาติยุโรปเตรียมสั่ง lockdown เพื่อลดโควิด
  • หลายประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน ดันให้ราคาโภคภัณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องขึ้นสูงต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า

โดย  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรในกรอบจากการแกว่งตัว หากราคายังไม่ผ่านโซน 1,870-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รอเปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,848-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์)

แนวรับ : 1,848 1,833 1,823  แนวต้าน : 1,877 1,889 1,900

จจัยพื้นฐาน :

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 12.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์แม้ว่าในระหว่างวันแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจะผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนบริเวณ 1,877.01  ดอลลาร์ต่อออนซ์  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ได้  ส่วนหนึ่งเพราะทองคำได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไรและแรงขายทางเทคนิค  นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันเพิ่มจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาดีเกินคาดทุกรายการ  ไม่ว่าจะเป็นยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4%, การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค.และดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านที่ดีดตัวขึ้นเกินคาดสู่ระดับ 83 ในเดือนต.ค.ซึ่งส่งผลให้หนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ16เดือน พร้อมกับหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 1.63% จนส่งผลกดดันราคาทองคำ  ประกอบกับเมื่อคืนนี้มีเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จำนวนหนึ่งออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อครัวเรือนของสหรัฐ รวมไปถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและแสดงความต้องการที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ  สถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงเกือบ 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับสูงสุดในระหว่างวัน  สู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,848.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยการอนุญาตก่อสร้าง และข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐ  รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด

ปัจจัยทางเทคนิค :

หากราคาทองคำไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1,870-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีราคาอาจแกว่งตัวออกด้านข้างทั้งนี้ประเมินแนวรับบริเวณ 1,848-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามในโซน 1,870-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาผ่านได้การเคลื่อนไหวในราคาอาจปรับตัวขึ้นต่อทดสอบแนวต้านถัดไปโซน 1,889 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน :

เน้นทำกำไรระยะสั้นโดยเปิดสถานะซื้อ หากราคาไม่หลุด 1,848-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อหวังขายทำกำไรหากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านโซน 1,870-1,877 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามควรลดสถานะซื้อลงหากราคาหลุด 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) บิตคอยน์หลุด $60,000 ต่ำกว่า 2,000,000 บาท ผวาสหรัฐรีดภาษีคริปโตบิตคอยน์ทรุดตัวหลุดระดับ 60,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. โดยปรับตัวลงต่ำกว่า 2,000,000 บาท ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าสหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีสกุลเงินคริปโต  ทั้งนี้ บิตคอยน์ดิ่งลงสู่ระดับ 58,600 ดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 20 วัน และดิ่งลง 14% จากระดับ 69,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  การทรุดตัวของบิตคอยน์ในวันนี้ถือว่าหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการที่นักลงทุนกังวลว่าสหรัฐจะทำการตรวจสอบการทำธุรกรรมและเรียกเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามในกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์วานนี้ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเนื้อหากำหนดให้โบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มที่ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต้องรายงานต่อกรมสรรพากรสหรัฐ (IRS) เกี่ยวกับการทำธุรกรรมใดๆของลูกค้าที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000 ดอลลาร์
  • (-) ดอลล์แข็งค่า ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐแกร่งเกินคาดดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.53% แตะที่ 95.9182 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 114.69 เยน จากระดับ 114.08 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9310 ฟรังก์ จากระดับ 0.9246 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2559 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2510 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1316 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1385 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3428 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3427 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7301 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7350 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 54.77 จุด รับข้อมูลศก.สหรัฐแข็งแกร่งดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค. รวมทั้งรายงานผลประกอบการที่สดใสของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ เช่นวอลมาร์ท และโฮม ดีโปท์  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด หรือ +0.15%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด หรือ +0.39% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,973.86 จุด เพิ่มขึ้น 120.01 จุด หรือ + 0.76%
  • (-) เฟดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. หลังจากร่วงลง 1.3% ในเดือนก.ย.  ทั้งนี้ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นการวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค
  • (-) สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสูงกว่าคาดในเดือนต.ค.สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านดีดตัวขึ้น 3 จุด สู่ระดับ 83 ในเดือนต.ค. โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาด  นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 80 ในเดือนต.ค.
  • (-) สหรัฐเผยยอดค้าปลีกพุ่งเกินคาดในเดือนต.ค.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.ย.  ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือนต.ค. ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร พุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.
  • (+/-) สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.7%สอดคล้องคาดการณ์กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค.

ที่มา : gold.in.th ( 17 พ.ย. 64 )

- Advertisement -

Leave a Reply